2565 Flashcards
ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) ปฏิกิริยาไม่ใช้แสง และปฏิกิริยาใช้แสงเกิดขึ้นบริเวณใดของพืช ตามลำดับ
A. ของเหลวในคลอโรพลาสต์ (stroma) และเยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane)
B. ไซโทพลาซึม (Cytoplasm) และเยื่อหุ้มไทลาคอยด์ (thylakoid)
C. เยื่อหุ้มไทลาคอยด์ และของเหลวในคลอโรพลาสต์
D. ของเหลวในคลอโรพลาสต์ และเยื่อหุ้มไทลาคอยด์
อธิบาย
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) มีสองขั้นตอนหลัก: ปฏิกิริยาใช้แสง (light-dependent reactions) และปฏิกิริยาไม่ใช้แสง (light-independent reactions หรือ Calvin cycle)
ปฏิกิริยาใช้แสง: ขั้นตอนนี้เกิดขึ้นในเยื่อหุ้มไทลาคอยด์ (thylakoid membranes) ภายในคลอโรพลาสต์ของเซลล์พืช ในขั้นตอนนี้แสงแสงแดดใช้ในการผลิตโมเลกุล ATP และ NADPH
ปฏิกิริยาไม่ใช้แสง (Calvin cycle): ขั้นตอนนี้เกิดขึ้นในของเหลวในคลอโรพลาสต์ (stroma) ในขั้นตอนนี้โมเลกุล ATP และ NADPH ที่สังเคราะห์จากขั้นตอนแรกใช้ในการเปลี่ยนโมเลกุล CO2 และ H2O ให้กลายเป็นน้ำตาล (glucose)
แต่โจทย์ถาม ปฏิกิริยาไม่ใช้แสง และปฏิกิริยาใช้แสงเกิดขึ้นบริเวณใดของพืช ตามลำดับ จึงตอบข้อ D ไม่ใช่ข้อ C
จากภาพเป็นการแบ่งเซลล์ไมโทซิส (mitosis) ในพืชชนิดหนึ่ง ถามว่าข้อใดเรียงระยะการแบ่งเซลล์ได้ถูกต้อง คือ interphase, prophase, metaphase, anaphase และ telophase ตามลำดับ
A. 2, 1, 5, 6, 8
B. 2, 6, 7, 5, 8
C. 3, 1, 5, 7, 8
D. 3, 2, 6, 5, 8
อธิบาย
1. คือระยะ Prophase
2. คือระยะ Prophase
3. คือระยะ Interphase
4. คือระยะ Anaphase
5. คือระยะ Metaphase
6. คือระยะ Metaphase
7. คือระยะ Anaphase
8. คือระยะ Telophase
ดังนั้น เรียงระยะการแบ่งเซลล์ คือ 3, 1, 5, 7, 8
จงใช้ข้อมูลต่อไปนี้ในการตอบคำถาม บุคลที่เป็น tester เป็นบุคคลที่สามารถชิมสาร phenythiocarbamide (PTC) แล้วมีรสขม และบุคคลอีกพวกหนึ่งจะไม่รู้รสขมจึงถูกจัดให้เป็น non-tester ต่อมาเราทราบว่าลักษณะของการชิมสารนี้ถูกควบคุมด้วยยีนเพียงหนึ่งคู่ และลักษณะ tester (T) เป็นลักษณะเด่นที่ข่ม non-tester (t) ได้อย่างสมบูรณ์ และจากการศึกษาบุคคลที่ใช้ ทดสอบสารนี้ 228 คน พบว่า 160 เป็น tester และทีเหลือ 68 คน เป็น non-tester ถามว่าข้อใด คือ ความถี่ของยีนที่ควบคุม T และ t
A. 0.45 และ 0.55
B. 0.55 และ 0.45
C. 0.50 และ 0.50
D. 0.60 และ 0.40
อธิบาย
ใช้สูตร Hardy-Weinberg:
p + q = 1
โดยที่ p คือความถี่ของยีน T
และ q คือความถี่ของยีน t
ความถี่ของ genotypes สามารถคำนวณได้ดังนี้:
TT คือ p^2
Tt คือ 2pq
tt คือ q^2
จากข้อมูลที่ให้มา เราทราบว่าความถี่ของ tt คือ 68/228 และเราสามารถใช้สูตร q^2 = 68/228 เพื่อหา q (ความถี่ของยีน t)
q^2 = 68/228
q = √(68/228)
q = 0.45
ใช้สูตร p + q = 1 เพื่อหา p:
p + 0.45 = 1
p = 1 - 0.45
p = 0.55
ดังนั้นความถี่ของยีน T คือ 0.55 และความถี่ของยีน t คือ 0.45
ในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของมนุษย์เพศชาย ถามว่าในกรณีที่มี 10 secondary spermatocyte จะทำการผลิตตัวอสุจิ (spermatozoa) ได้กี่ตัว
A. 10 ตัว
B. 20 ตัว
C. 30 ตัว
D. 40 ตัว
อธิบาย
ในกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของมนุษย์เพศชาย (spermatogenesis) ขั้นตอนหนึ่งคือการแบ่งเซลล์ของ secondary spermatocyte เป็น spermatids โดยการแบ่งเซลล์แบบ meioisis II โดยแต่ละ secondary spermatocyte จะแบ่งตัวเป็น 2 spermatids ดังนั้น ถ้ามี 10 secondary spermatocytes จะได้ spermatids ทั้งหมด 20 ตัวและ spermatids ทุกตัวจะพัฒนาเป็นตัวอสุจิ (spermatozoa) ดังนั้นจะได้ตัวอสุจิ 40 ตัว (20 x 2)
ข้อใดกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างพืช C4 และ C3 ในการสังเคราะห์ด้วยแสงได้ ถูกต้องมากที่สุด
- ผลิตภัณฑ์ตัวแรกจากการตรึง CO2 จากบรรยากาศของพืช C3 คือ PGA (คาร์บอน 3 อะตอม) ส่วนพืช C4 คือ OAA (คาร์บอน 4 อะตอม)
- จำนวนครั้งในการตรึง CO2 จากบรรยากาศ พืช C3 ตรึงครั้งเดียว สำหรับพืช C4 ตรึง 2 ครั้ง
- เซลล์ทีมีการตรึง CO2 จากบรรยากาศ ในพืช C3 มีเพียง mesophyll สำหรับพืช C4 เกิดขึ้นที่ mesophyll และ bundle sheath
A. 1 และ 2
B. 1 และ 3
C. 2 และ 3
D. 1, 2 และ 3
D. 1, 2 และ 3
ทั้งหมดกล่าวถูกต้อง
ข้อใดกล่าวถึงลักษณะใบของพืชป่าชายเลน (mangrove forest) ได้ ถูกต้องมากที่สุด
A. มีชั้นคิวติเคิล (cuticle) บาง มีปากใบ (stomata) จมอยู่ระดับต่ำกว่าเนื้อเยื่อชั้นผิว เซลล์เนื้อเยื่อชั้นผิวบางเซลล์เปลี่ยนแปลงไปเป็นต่อม และมีไขมัน (wax) เกาะอยู่ตามแผ่นใบ
B. ชั้นคิวติเคิลบาง มีปากใบอยู่ในเนื้อเยื่อชั้นผิว เซลล์เนื้อเยื่อชั้นผิวบางเซลล์ เปลี่ยนแปลงไปเป็นต่อม และมีไขมันเกาะอยู่ตามแผ่นใบ
C. มีชั้นคิวติเคิลหนา มีปากใบจมอยู่ระดับต่ำกว่าเนื้อเยื่อชั้นผิว เซลล์เนื้อเยื่อชั้นผิวบาง เซลล์เปลี่ยนแปลงไปเป็นต่อม และมีผลึกสีขาวเกาะอยู่ตามแผ่นใบ
D. มีชั้นคิวติเคิลหนา มีปากใบอยู่ในเนื้อเยื่อชั้นผิว เซลล์เนื้อเยื่อชั้นผิวบางเซลล์ เปลี่ยนแปลงไปเป็นต่อม และมีผลึกสีขาวเกาะอยู่ตามแผ่นใบ
อธิบาย
พืชในป่าชายเลน (mangrove forest) ใบของพืชมักจะมีชั้นคิวติเคิลที่หนาเพื่อลดการสูญเสียน้ำทางปากใบ ปากใบจะจมอยู่ระดับต่ำกว่าเนื้อเยื่อชั้นผิวเพื่อช่วยในการป้องกันการสูญเสียน้ำ และมีผลึกสีขาวเกาะอยู่ตามแผ่นใบเพื่อลดความร้อนที่แผ่นใบได้รับจากแสงแดด การมีเซลล์เนื้อเยื่อชั้นผิวบางเซลล์เปลี่ยนแปลงไปเป็นต่อมนั้นยังช่วยในการป้องกันการสูญเสียน้ำ และเป็นลักษณะที่ช่วยให้พืชป่าชายเลนสามารถปรับตัวในสภาพที่มีความเค็มสูงและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งได้
เอนไซม์ (enzyme) คือ โปรตีนที่มีความสามารถในการเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ถามว่าข้อใดกล่าวถึงเอนไซม์ได้ ถูกต้อง มากที่สุด
1.เอนไซม์จะไม่เปลี่ยนรูปร่างหลังจากทำปฏิกิริยากับสารตั้งต้น
2.ถ้ามีความเข้มข้นของเอนไซม์มากเกินพอ ความเร็วของปฏิกิริยาจะไม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีสารตั้งต้นเหลือพอเข้าทำปฏิกิริยา
3. เอนไซม์ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีให้เกิดเร็วมากขึ้น โดยการไปลดพลังงานกระตุ้นของปฏิกิริยา
A. 1 และ 2
B. 1 และ 3
C. 2 และ 3
D. 1, 2 และ 3
D. 1, 2 และ 3
ทั้งหมดกล่าวถูกต้อง
การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างมากในยุคปัจจุบันนี้ ทำให้มนุษย์เอาชนะปัจจัยจํากัดทางด้านวิทยาทางการแพทย์ จะส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของมนุษย์อย่างไร มากที่สุด
A. ทำให้ลดอัตราการตายของมนุษย์ให้น้อยลง
B. ทำให้เพิ่มอัตราการอพยพของมนุษย์ให้สูงมากขึ้น
C. ทำให้ลดอัตราการเกิดของมนุษย์ให้น้อยลง
D. ทำให้ลดปัจจัยที่ไม่ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของประชากรมนุษย์
อธิบาย
การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ทำให้มนุษย์สามารถรักษาโรค หรือ การบาดเจ็บที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต ซึ่งทำให้อัตราการตายลดลง นอกจากนี้การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ยังทำให้มนุษย์สามารถรักษาโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรังได้มากยิ่งขึ้น ทำให้ชีวิตประชากรมนุษย์ยืดยาวขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรมนุษย์ในเชิงความยาวนานของชีวิตและอัตราการตายลดลง
ขณะที่มีการเจริญเติบโตของต้นถั่วเขียว ปลายยอดของต้นถั่วเขียวจะมีการเคลื่อนที่แบบหมุนแกว่งไปแกว่งมา ถามว่าเป็นการเคลื่อนไหวแบบใด
A. Tropic movement
B. Nutation movement
C. Nastic movement
D. Tropic movement และ Nutation movement
อธิบาย
ปลายยอดของต้นถั่วเขียวจะมีการเคลื่อนที่แบบหมุนแกว่งไปแกว่งมา ซึ่งเรียกว่าการเคลื่อนไหวแบบ Nutation movement
Tropic movement - การเคลื่อนไหวแบบ Tropic movement เกิดจากการตอบสนองแบบมีทิศทางต่อสิ่งเร้าภายนอกของพืช เช่น แสง หรือ แรงโน้มถ่วง แต่การเคลื่อนไหวแบบหมุนแกว่งไปแกว่งมาของปลายยอดต้นถั่วเขียวไม่ได้เกิดจากการตอบสนองแบบมีทิศทางต่อสิ่งเร้าภายนอก ดังนั้นตัวเลือกนี้ไม่ถูกต้อง
Nastic movement - การเคลื่อนไหวแบบ Nastic movement เกิดจากการตอบสนองแบบไม่มีทิศทางต่อสิ่งเร้าภายนอกของพืช เช่น อุณหภูมิ หรือ ความชื้น การสัมผัส แต่การเคลื่อนไหวแบบหมุนแกว่งไปแกว่งมาของปลายยอดต้นถั่วเขียวเกิดจากการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงภายใน คือการเจริญเติบโตที่ไม่เท่ากันของยอด
ข้อใดกล่าวถูกต้อง จากการผสมพันธุ์ถั่วลันเตาทั้ง 7 คู่ลักษณะ ในการทดลองของบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์ (เมนเดล)
- ในการผสมระหว่างพ่อแม่พันธุ์แท้ พบว่าลูกในรุ่นที่ 1 ลักษณะที่เป็นด้อยจะหายไป
- ลักษณะด้อยที่หายไปในรุ่นที่ 1 จะกลับมาแสดงออกในรุ่นที่ 2 ในอัตราส่วน 1 ใน 4
- ลักษณะเด่นในรุ่นที่ 1 จะแสดงออกในรุ่นที่ 2 ในอัตราส่วน 3 ใน 4
A. 1 และ 2
B. 2 และ 3
C. 1 และ 3
D.1, 2 และ 3
D.1, 2 และ 3
ทั้งหมดกล่าวถูกต้อง
ชาวสวนใช้ฮอร์โมน (hormone) ใดในการบ่มผลไม้ให้สุกเร็วขึ้น และฮอร์โมนใดที่จะยับยั้งการสุกของผลไม้
A. ออกซิน (auxin) และกรดแอบไซซิก (abscisic acid)
B. เอทิลีน (Ethylene) และไซโทไคนิน (Cytokinin)
C. เอทิลีน (Ethylene) และกรดแอบไซซิก (abscisic acid)
D. จิบเบอเรลลิน (gibberellin) และเอทิลีน (Ethylene)
อธิบาย
เอทิลีน (Ethylene) นั้นมีบทบาทสำคัญในการบ่มผลไม้ให้สุกเร็วขึ้น และไซโทไคนิน (Cytokinin) นั้นมีบทบาทในการยับยั้งการสุกของผลไม้
จากข้อมูลให้นักศึกษาตอบคำถาม ในการผสมพันธุ์ถั่วลันเตามียืนควบคุมต่อไปนี้
R = เมล็ดเรียบ
r = เมล็ดขรุขระ
Y = เมล็ดสีเหลือง
y = เมล็ดสีเขียว
T = ต้นสูง
t = ต้นเตี้ย
ทำการผสมพันธุ์ระหว่างต้นพ่อและแม่พันธุ์ที่เป็นพันธุ์แท้ (ยีนเป็น homozygous) ระหว่างเมล็ดเรียบ เมล็ดสีเหลือง และต้นสูง กับเมล็ดขรุขระ เมล็ดสีเขียว และต้นเตี้ย ถามว่าลูกในรุ่นที่ 2 (F2) มีโอกาสที่จะมีจีโนไทป์เป็น RrYyTt ในอัตราส่วนในข้อใด
A. 1/8
B. 1/32
C. 1/64
D. 1/128
อธิบาย
(Rr): ความน่าจะเป็นในการเกิดเป็น Rr คือ 1/2 (เพราะจะได้ R จากพ่อ และ r จากแม่)
(Yy): ความน่าจะเป็นในการเกิดเป็น Yy คือ 1/2 (เพราะจะได้ Y จากพ่อ และ y จากแม่)
(Tt): ความน่าจะเป็นในการเกิดเป็น Tt คือ 1/2 (เพราะจะได้ T จากพ่อ และ t จากแม่)
เราสามารถหาความน่าจะเป็นโดยการคูณความน่าจะเป็นของแต่ละยีน: (1/2) x (1/2) x (1/2) = 1/8
ในกรณีที่เป็นถั่วลันเตาต้นสูงที่เป็น TT หรือ Tt ถ้าเราทำการผสมกับตัว tester ที่เป็น tt (homozygous recessive) เพื่อที่จะทำการแยกว่าต้นถั่วลันเตาของเรามีจีโนไทป์เป็นแบบใด ถามว่าเราจะสังเกตได้จากอะไร
A. ถ้าเป็น Tt ลูกที่ได้จะมีต้นเตี้ยออกมาทั้งหมด
B. ถ้าเป็น Tt ลูกที่ได้จะมีต้นสูงออกมาทั้งหมด
C. ถ้าเป็น Tt ลูกที่ได้จะมีต้นสูง: ต้นเตี้ย (3 : 1)
D. ถ้าเป็น Tt ลูกที่ได้จะมีต้นสูง: ต้นเตี้ย (1 : 1)
อธิบาย
เมื่อผสมกับตัว tester ที่เป็น tt (homozygous recessive) ถ้าต้นถั่วลันเตาของเราเป็น Tt (heterozygous) ลูกที่ได้จะมีสัดส่วนที่เป็น 1:1 ระหว่างต้นสูง (Tt) และต้นเตี้ย (tt)
การจำแนกตามโครงสร้างชั้นเกสรเพศในดอกไม้ แบ่งดอกไม้ได้ 2 ชนิด คือ ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) และดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) ข้อใดต่อไปนี้ กล่าวไม่ถูกต้อง
A. ดอกสมบูรณ์เพศ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นดอกสมบูรณ์
B. ดอกไม่สมบูรณ์ อาจจัดได้ว่าเป็นดอกสมบูรณ์เพศได้
C. ดอกสมบูรณ์ จัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศเสมอ
D. ดอกไม่สมบูรณ์เพศ ต้นพืชจะต้องแยกกันอยู่คนละต้นเสมอ
D. ดอกไม่สมบูรณ์เพศ ต้นพืชจะต้องแยกกันอยู่คนละต้นเสมอ
ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) ไม่จำเป็นต้องมาจากต้นพืชที่แยกกัน สามารถมาจากต้นพืชเดียวกันได้ หรือมาจากต้นพืชที่แยกกันอยู่คนละต้นก็ได้ ดอกไม่สมบูรณ์เพศหมายถึงดอกไม้ที่มีเฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง (เช่น มีแต่เกสรเพศผู้ หรือมีแต่เกสรเพศเมีย) แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องมาจากต้นพืชคนละต้น
การเคลื่อนย้ายและการอพยพของสิ่งมีชีวิตชนิด (species) เดียวกัน จากประชากรหนึ่งไปสู่อีกประชากรหนึ่ง และเกิดการผสมพันธุ์ระหว่างกันได้ ส่งผลทำให้แอลลีล (alleles) จากประชากรหนึ่งถูกถ่ายทอดไปให้อีกประชากรหนึ่ง ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ 2 ประชากรนี้
A. ถ้า 2 ประชากรมีการเคลื่อนย้ายยีน (gene flow) สูง จะทำให้ 2 ประชากรที่มีลักษณะพันธุกรรมที่แตกต่างกันมากขึ้น
B. ถ้า 2 ประชากรมีการเคลื่อนย้ายยีนสูง จะทำให้ 2 ประชากรนี้มีลักษณะพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกันมากขึ้น
C. ถ้า 2 ประชากรมีการเคลื่อนย้ายยีนต่ำ จะทำให้ 2 ประชากรที่มีลักษณะพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกันมากขึ้น
D. ถ้า 2 ประชากรมีการเคลื่อนย้ายยีนต่ำ จะทำให้ 2 ประชากรนี้มีลักษณะพันธุกรรมที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
อธิบาย
การเคลื่อนย้ายยีน (gene flow) เป็นการถ่ายทอดแอลลีลระหว่างประชากรต่างๆ ในสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน การเคลื่อนย้ายยีนสูงจะทำให้ประชากรมีลักษณะพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกันมากขึ้น และมีความหลากหลายทางพันธุกรรมน้อยลง ตรงกันข้ามถ้าหากการเคลื่อนย้ายยีนหยุดไป ประชากรจะเริ่มแยกตัวจากกันทางพันธุกรรม และอาจนำไปสู่การเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ได้
ในการตัดถนนเข้าไปในพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งที่ยังไม่มีการบุกรุกโดยมนุษย์ เมื่อกาลเวลาได้ผ่านไปอีกหลายร้อยปี ถามว่าตามหลักการวิวัฒนาการ (evolution) ของสิ่งมีชีวิต จะมีโอกาสเกิดสิ่งใดขึ้นได้มากที่สุด
A. มีนกชนิดใหม่เกิดขึ้นในพื้นที่ด้านฝั่งใดฝั่งหนึ่งของถนนสายนี้
B. มีฝูงกระรอกอพยพมาอยู่อาศัยอยู่ทั้ง 2 ฝั่งถนนของถนนสายนี้
C. มีอึ่งอพยพมาอยู่อาศัยในพื้นที่ด้านฝั่งใดฝั่งหนึ่งของถนนสายนี้
D. มีหอยชนิดใหม่เกิดขึ้นในพื้นที่ด้านฝั่งใดฝั่งหนึ่งของถนนสายนี้
อธิบาย
การตัดถนนเข้าไปในพื้นที่ป่าอาจมีผลกระทบต่อการเคลื่อนที่และการแพร่กระจายของสัตว์และพืชในพื้นที่ดังกล่าว ด้วยการสร้างถนนเข้าไปอาจทำให้เกิด “การตัดขาดทางชีวภาพ” (habitat fragmentation) และอาจจะทำให้สิ่งมีชีวิตในพื้นที่ป่านั้นไม่สามารถเคลื่อนที่ข้ามถนนได้
วิเคราะห์ตัวเลือก
A. มีโอกาสเกิดขึ้นเมื่อพื้นที่ด้านฝั่งใดฝั่งหนึ่งของถนนมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากฝั่งตรงข้าม แต่แรงกดดันวิวัฒนาการยังมีน้อยเพราะนกสามารถบินหากันได้ทำให้นกไม่เกิดเป็นสปีชีส์ใหม่
B. ฝูงกระรอกอาจอยู่อาศัยอยู่ทั้ง 2 ฝั่งถนน หรือย้ายที่อยู่อาศัยเมื่อพบภัยคุกคามหรือหาอาหารไม่พอในพื้นที่เดิม
C. อึ่งอพยพเป็นเรื่องปกติถ้าพื้นที่ป่ามีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
D. หอยมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยเนื่องจากการสร้างถนนไม่มีผลกระทบต่อน้ำหรือสภาพแวดล้อมทางน้ำ และหอยเคลื่อนที่ไม่ได้
ดังนั้น ถ้าพิจารณาจากผลกระทบของการตัดถนนและการวิวัฒนาการ ข้อ C มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุดเนื่องจากอึ่งจะอยู่ในฝั่งที่มีแหล่งน้ำ และอึ่งเป็นสัตว์ที่สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ง่ายและเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว
จากการที่สัตว์ชนิดหนึ่งสามารถทนทานต่อปัจจัยต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมได้ในช่วงกว้าง เช่น อุณหภูมิ ความชื้น เป็นต้น ถามว่าจะส่งผลทำให้เกิดอะไรขึ้นกับสัตว์ชนิดนี้
A. ส่งผลให้สัตว์ชนิดนี้ออกลูกครั้งละเป็นจำนวนมาก
B. สัตว์ชนิดนี้สามารถอาศัยอยู่ได้ในถิ่นที่อยู่อาศัยได้หลากหลายแบบ
C. ทำให้สัตว์ชนิดนี้เป็นผู้บริโภคอันดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหาร
D. ทำให้สัตว์ชนิดนี้สามารถสืบพันธุ์ได้แบบทั้งอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศ
อธิบาย
สัตว์ที่สามารถทนทานต่อปัจจัยต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมได้ในช่วงกว้างมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม และมีความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ดี ดังนั้น สัตว์ชนิดนี้สามารถอาศัยอยู่ได้ในถิ่นที่อยู่อาศัยได้หลากหลายแบบ
จากข้อมูลต่อไปนี้ให้นักศึกษาตอบคำถาม
DNA สายที่แรก 5’ ATGCCTGAATTCTAA 3’
DNA สายที่สอง 3’ —————————– 5’
ถามว่าในกรณีที่ดีเอ็นเอสายที่สองเป็นแม่พิมพ์สร้าง m-RNA ออกมา ข้อใด คือ สาย m-RNA ที่ได้จากการสร้างของดีเอ็นเอสายที่สอง
A. AUGCCUGTTUUCUAA
B. AUGGGUGAAUUCUAA
C. AUGCCUGAAUUCAUA
D. AUGCCUGAAUUCUAA
อธิบาย
จากสาย DNA แรกที่กำหนดให้ 5’ ATGCCTGAATTCTAA 3’ เราจะสามารถสร้างสาย DNA ที่สองได้ดังนี้:
3’ TACGGACTTAAGATT 5’
ดังนั้นสาย mRNA ที่สร้างขึ้นจากสาย DNA ที่สองนี้จะเป็น:
5’ AUGCCUGAAUUCUAA 3’
ในกรณีที่พืชมีจำนวนโครโมโซมดิพลอยด์ (diploid) เท่ากับ 4 แท่ง ถามว่าเมื่อสิ้นสุดการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ (meiosis) แต่ละเซลล์จะมีจำนวนโครโมโซม และโครมาทิดเป็นเช่นใด
A. 4 โครโมโซม และ 4 โครมาทิด
B. 2 โครโมโซม และ 2 โครมาทิด
C. 2 โครโมโซม และ 4 โครมาทิด
D. 4 โครโมโซม และ 2 โครมาทิด
อธิบาย
การแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ (meiosis) จะลดจำนวนโครโมโซมลงเป็นครึ่งหนึ่ง
ในกรณีนี้พืชมีโครโมโซมดิพลอยด์ (diploid) เท่ากับ 4 แท่ง ดังนั้นในการแบ่งเซลล์ meiosis จะได้
2 โครโมโซม (แต่ละเซลล์มีโครโมโซม 1 ชุด)
2 โครมาทิด
ในกรณีที่เซลล์นำสารอะซิติลโคเอนไซม์ เอ (acetyl CoA) จำนวนเท่ากับ 5 โมเลกุล (molecule) แล้วนำเข้าสู่ไมโทคอนเดรีย (mitochondrion) ถามว่าจะผลิต ATP (adenosine triphosphate) ได้จำนวนเท่าใด
A. 60 โมเลกุล
B. 120 โมเลกุล
C. 180 โมเลกุล
D. 210 โมเลกุล
อธิบาย
วัฏจักรเครป (tricarboxylic acid cycle : TCA cycle) จะใช้ 1 โมเลกุล acetyl CoA และผลิต GTP หรือ ATP (ซึ่งสามารถแปลงกันได้ 1:1) 1 โมเลกุล ,NADH 3 โมเลกุล , และ FADH2 1 โมเลกุล
ATP จากกระบวนการ ETC (oxidative phosphorylation)
ใช้ 1 โมเลกุล NADH ในการผลิต 3 ATP และใช้ 1 โมเลกุล FADH2 ในการผลิต 2 ATP
จากโจทย์กำหนดให้ acetyl CoA มีจำนวน 5 โมเลกุล:
ในวัฏจักรเครป (tricarboxylic acid cycle : TCA cycle) จะได้
5 โมเลกุล ATP ผลิตจาก TCA cycle
15 โมเลกุล NADH ผลิตจาก TCA cycle
5 โมเลกุล FADH2 ผลิตจาก TCA cycle
ATP จากกระบวนการ ETC (oxidative phosphorylation)
จะได้ 45 ATP
ผลิตจาก NADH (15 โมเลกุล NADH * 3 = 45 ATP)
จะได้ 10 ATP
ผลิตจาก FADH2 (5 โมเลกุล FADH2 * 2 = 10 ATP)
เมื่อรวม ATP ทั้งหมดที่ผลิตจากกระบวนการทั้งสอง: 5 + 45 + 10 = 60 ATP
การศึกษาขนาดของประชากรสัตว์ด้วยวิธีการจับมาทำเครื่องหมาย (mark and recapture method) ในประชากรหนูชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าพื้นที่หนึ่ง ครั้งแรกดักจับมาได้ 20 ตัว แล้วทำเครื่องหมายแล้วปล่อยกลับเข้าไปในพื้นที่เดิม อีก 3 เดือนต่อมาทำการดักจับหนูมาได้ 30 ตัว พบว่าเป็นหนูที่ทำเครื่องหมายไว้ในการดักจับครั้งแรก 5 ตัว ถามว่าประชากรหนูชนิดนี้ในทุ่งหญ้าแห่งนี้มีอยู่ประมาณกี่ตัว
A. 120 ตัว
B. 150 ตัว
C. 180 ตัว
D. 200 ตัว
อธิบาย
จากข้อมูลในคำถาม:
จำนวนที่ทำเครื่องหมายในครั้งแรก = 20
จำนวนที่ทำเครื่องหมายแล้วจับนำได้ = 5
จำนวนที่จับนำได้ในครั้งที่สอง = 30
เราสามารถแทนค่าลงในสมการได้ว่า:
ประชากรทั้งหมด/20 = 30/5
ประชากรทั้งหมด = 20 * 30 / 5
ประชากรทั้งหมด = 120 ตัว
ในการสำรวจหมู่เลือด MN ของประชากรกลุ่มหนึ่ง ได้หมู่เลือดต่าง ๆ ดังนี้
หากว่าบุคคลในประชากรมีการแต่งงานแบบสุ่ม ในชั่วรุ่นต่อไปความถี่ของสภาพยืนดังกล่าว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราสามารถหาค่าคาดหวัง (expected, E) การกระจายตัวของหมู่เลือด MN นี้ได้จากประชากรที่เราใช้ในการศึกษาทั้งสิ้น 200 คน ถามว่าจะมีคนที่มีหมู่เลือด MM ประมาณกี่คน
A. 70 คน
B. 74 คน
C. 78 คน
D. 72 คน
อธิบาย
ประชากรมีจำนวน 200 คน
หมู่เลือด MM จำนวน 76 คน ความถี่จีโนไทป์เท่ากับ 0.38
หมู่เลือด MN จำนวน 92 คน ความถี่จีโนไทป์เท่ากับ 0.46
หมู่เลือด NN จำนวน 32 คน ความถี่จีโนไทป์เท่ากับ 0.16
ความถี่ของยีน M (p) สามารถคำนวณได้จาก:
p = ((2 * จำนวน MM) + จำนวน MN) / (2 * จำนวนประชากร)
= (276 + 92) / (2,200)
= (244) / (400)
= 0.61
ความถี่ของยีน N (q) สามารถคำนวณได้จาก:
q = 1 - p
= 1 - 0.61
= 0.39
ค่าคาดหวังของจำนวนหมู่เลือด MM (E) สามารถคำนวณได้จาก:
E = (p^2) * จำนวนประชากร
= (0.61^2) * 200
= (0.3721) * 200
= 74.42
ดังนั้นคำตอบคือ 74 คน
ข้อใดต่อไปนี้กล่าว ไม่ถูกต้อง
A. การแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ระยะโพรเฟส (prophase) 1 แบ่งออกได้เป็น 5 ระยะ คือ leptotene, zygotene, pachytene, diplotene และ diakinesis
B. การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ในพืชชั้นสูงจะมีความแตกต่างกับสัตว์ชั้นสูง ตรงที่เมื่อมีการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์แล้ว จะต้องมีการแบ่งเซลล์ร่างกายตามมาอีก
C. กฎเมนเดลมี 2 ข้อ ข้อที่ 1 กฎการจับคู่กันอย่างอิสระของยีน (law of segregation of gene) กฎข้อที่ 2 กฎการแยกตัวของยีน (law of independent assortment)
D. การข่มของยีนแบบข่มร่วม (codominant) สมมุติว่าเป็นยีนที่ควบคุมสีของดอกไม้ จะพบว่าพืชที่มีจีโนไทป์ Aa จะให้สีดอกครึ่งหนึ่งสีแดง และอีกครึ่งหนึ่งสีขาว
อธิบาย
การข่มของยีนแบบข่มร่วม (codominant) ยีนทั้งสองจะแสดงคุณสมบัติอย่างคนละครึ่ง หรือแสดงออกทั้งคู่ (ไม่ใช่ผสมสีนะ แต่จะเป็นลายด่าง) ไม่ใช่การแบ่งสีดอกเป็นครึ่งหนึ่งสีแดง และอีกครึ่งหนึ่งสีขาว
ภาวะสมดุล (equilibrium) ของความถี่ยีน (gene frequency) ในประชากรหนึ่ง ๆ จะคงที่ต้องอยู่ในเงื่อนไขในข้อใด
- แต่ละจีโนไทป์ (genotype) มีความสามารถในการสืบพันธุ์ในอัตราที่เท่ากัน
- ประชากรต้องมีจำนวนที่มากพอ
- มีการแต่งงาน หรือผสมพันธุ์แบบสุ่ม (random mating)
A. 1 และ 2
B. 1 และ 3
C. 2 และ 3
D. 1, 2 และ 3
D. 1, 2 และ 3