2565 Flashcards

1
Q

ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) ปฏิกิริยาไม่ใช้แสง และปฏิกิริยาใช้แสงเกิดขึ้นบริเวณใดของพืช ตามลำดับ

A. ของเหลวในคลอโรพลาสต์ (stroma) และเยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane)
B. ไซโทพลาซึม (Cytoplasm) และเยื่อหุ้มไทลาคอยด์ (thylakoid)
C. เยื่อหุ้มไทลาคอยด์ และของเหลวในคลอโรพลาสต์
D. ของเหลวในคลอโรพลาสต์ และเยื่อหุ้มไทลาคอยด์

A

อธิบาย
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) มีสองขั้นตอนหลัก: ปฏิกิริยาใช้แสง (light-dependent reactions) และปฏิกิริยาไม่ใช้แสง (light-independent reactions หรือ Calvin cycle)

ปฏิกิริยาใช้แสง: ขั้นตอนนี้เกิดขึ้นในเยื่อหุ้มไทลาคอยด์ (thylakoid membranes) ภายในคลอโรพลาสต์ของเซลล์พืช ในขั้นตอนนี้แสงแสงแดดใช้ในการผลิตโมเลกุล ATP และ NADPH

ปฏิกิริยาไม่ใช้แสง (Calvin cycle): ขั้นตอนนี้เกิดขึ้นในของเหลวในคลอโรพลาสต์ (stroma) ในขั้นตอนนี้โมเลกุล ATP และ NADPH ที่สังเคราะห์จากขั้นตอนแรกใช้ในการเปลี่ยนโมเลกุล CO2 และ H2O ให้กลายเป็นน้ำตาล (glucose)

แต่โจทย์ถาม ปฏิกิริยาไม่ใช้แสง และปฏิกิริยาใช้แสงเกิดขึ้นบริเวณใดของพืช ตามลำดับ จึงตอบข้อ D ไม่ใช่ข้อ C

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
2
Q

จากภาพเป็นการแบ่งเซลล์ไมโทซิส (mitosis) ในพืชชนิดหนึ่ง ถามว่าข้อใดเรียงระยะการแบ่งเซลล์ได้ถูกต้อง คือ interphase, prophase, metaphase, anaphase และ telophase ตามลำดับ

A. 2, 1, 5, 6, 8
B. 2, 6, 7, 5, 8
C. 3, 1, 5, 7, 8
D. 3, 2, 6, 5, 8

A

อธิบาย
1. คือระยะ Prophase
2. คือระยะ Prophase
3. คือระยะ Interphase
4. คือระยะ Anaphase
5. คือระยะ Metaphase
6. คือระยะ Metaphase
7. คือระยะ Anaphase
8. คือระยะ Telophase

ดังนั้น เรียงระยะการแบ่งเซลล์ คือ 3, 1, 5, 7, 8

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
3
Q

จงใช้ข้อมูลต่อไปนี้ในการตอบคำถาม บุคลที่เป็น tester เป็นบุคคลที่สามารถชิมสาร phenythiocarbamide (PTC) แล้วมีรสขม และบุคคลอีกพวกหนึ่งจะไม่รู้รสขมจึงถูกจัดให้เป็น non-tester ต่อมาเราทราบว่าลักษณะของการชิมสารนี้ถูกควบคุมด้วยยีนเพียงหนึ่งคู่ และลักษณะ tester (T) เป็นลักษณะเด่นที่ข่ม non-tester (t) ได้อย่างสมบูรณ์ และจากการศึกษาบุคคลที่ใช้ ทดสอบสารนี้ 228 คน พบว่า 160 เป็น tester และทีเหลือ 68 คน เป็น non-tester ถามว่าข้อใด คือ ความถี่ของยีนที่ควบคุม T และ t

A. 0.45 และ 0.55
B. 0.55 และ 0.45
C. 0.50 และ 0.50
D. 0.60 และ 0.40

A

อธิบาย
ใช้สูตร Hardy-Weinberg:

p + q = 1
โดยที่ p คือความถี่ของยีน T
และ q คือความถี่ของยีน t

ความถี่ของ genotypes สามารถคำนวณได้ดังนี้:
TT คือ p^2
Tt คือ 2pq
tt คือ q^2

จากข้อมูลที่ให้มา เราทราบว่าความถี่ของ tt คือ 68/228 และเราสามารถใช้สูตร q^2 = 68/228 เพื่อหา q (ความถี่ของยีน t)

q^2 = 68/228
q = √(68/228)
q = 0.45

ใช้สูตร p + q = 1 เพื่อหา p:

p + 0.45 = 1
p = 1 - 0.45
p = 0.55

ดังนั้นความถี่ของยีน T คือ 0.55 และความถี่ของยีน t คือ 0.45

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
4
Q

ในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของมนุษย์เพศชาย ถามว่าในกรณีที่มี 10 secondary spermatocyte จะทำการผลิตตัวอสุจิ (spermatozoa) ได้กี่ตัว

A. 10 ตัว
B. 20 ตัว
C. 30 ตัว
D. 40 ตัว

A

อธิบาย
ในกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของมนุษย์เพศชาย (spermatogenesis) ขั้นตอนหนึ่งคือการแบ่งเซลล์ของ secondary spermatocyte เป็น spermatids โดยการแบ่งเซลล์แบบ meioisis II โดยแต่ละ secondary spermatocyte จะแบ่งตัวเป็น 2 spermatids ดังนั้น ถ้ามี 10 secondary spermatocytes จะได้ spermatids ทั้งหมด 20 ตัวและ spermatids ทุกตัวจะพัฒนาเป็นตัวอสุจิ (spermatozoa) ดังนั้นจะได้ตัวอสุจิ 40 ตัว (20 x 2)

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
5
Q

ข้อใดกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างพืช C4 และ C3 ในการสังเคราะห์ด้วยแสงได้ ถูกต้องมากที่สุด

  1. ผลิตภัณฑ์ตัวแรกจากการตรึง CO2 จากบรรยากาศของพืช C3 คือ PGA (คาร์บอน 3 อะตอม) ส่วนพืช C4 คือ OAA (คาร์บอน 4 อะตอม)
  2. จำนวนครั้งในการตรึง CO2 จากบรรยากาศ พืช C3 ตรึงครั้งเดียว สำหรับพืช C4 ตรึง 2 ครั้ง
  3. เซลล์ทีมีการตรึง CO2 จากบรรยากาศ ในพืช C3 มีเพียง mesophyll สำหรับพืช C4 เกิดขึ้นที่ mesophyll และ bundle sheath

A. 1 และ 2
B. 1 และ 3
C. 2 และ 3
D. 1, 2 และ 3

A

D. 1, 2 และ 3
ทั้งหมดกล่าวถูกต้อง

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
6
Q

ข้อใดกล่าวถึงลักษณะใบของพืชป่าชายเลน (mangrove forest) ได้ ถูกต้องมากที่สุด

A. มีชั้นคิวติเคิล (cuticle) บาง มีปากใบ (stomata) จมอยู่ระดับต่ำกว่าเนื้อเยื่อชั้นผิว เซลล์เนื้อเยื่อชั้นผิวบางเซลล์เปลี่ยนแปลงไปเป็นต่อม และมีไขมัน (wax) เกาะอยู่ตามแผ่นใบ
B. ชั้นคิวติเคิลบาง มีปากใบอยู่ในเนื้อเยื่อชั้นผิว เซลล์เนื้อเยื่อชั้นผิวบางเซลล์ เปลี่ยนแปลงไปเป็นต่อม และมีไขมันเกาะอยู่ตามแผ่นใบ
C. มีชั้นคิวติเคิลหนา มีปากใบจมอยู่ระดับต่ำกว่าเนื้อเยื่อชั้นผิว เซลล์เนื้อเยื่อชั้นผิวบาง เซลล์เปลี่ยนแปลงไปเป็นต่อม และมีผลึกสีขาวเกาะอยู่ตามแผ่นใบ
D. มีชั้นคิวติเคิลหนา มีปากใบอยู่ในเนื้อเยื่อชั้นผิว เซลล์เนื้อเยื่อชั้นผิวบางเซลล์ เปลี่ยนแปลงไปเป็นต่อม และมีผลึกสีขาวเกาะอยู่ตามแผ่นใบ

A

อธิบาย
พืชในป่าชายเลน (mangrove forest) ใบของพืชมักจะมีชั้นคิวติเคิลที่หนาเพื่อลดการสูญเสียน้ำทางปากใบ ปากใบจะจมอยู่ระดับต่ำกว่าเนื้อเยื่อชั้นผิวเพื่อช่วยในการป้องกันการสูญเสียน้ำ และมีผลึกสีขาวเกาะอยู่ตามแผ่นใบเพื่อลดความร้อนที่แผ่นใบได้รับจากแสงแดด การมีเซลล์เนื้อเยื่อชั้นผิวบางเซลล์เปลี่ยนแปลงไปเป็นต่อมนั้นยังช่วยในการป้องกันการสูญเสียน้ำ และเป็นลักษณะที่ช่วยให้พืชป่าชายเลนสามารถปรับตัวในสภาพที่มีความเค็มสูงและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งได้

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
7
Q

เอนไซม์ (enzyme) คือ โปรตีนที่มีความสามารถในการเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ถามว่าข้อใดกล่าวถึงเอนไซม์ได้ ถูกต้อง มากที่สุด

1.เอนไซม์จะไม่เปลี่ยนรูปร่างหลังจากทำปฏิกิริยากับสารตั้งต้น
2.ถ้ามีความเข้มข้นของเอนไซม์มากเกินพอ ความเร็วของปฏิกิริยาจะไม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีสารตั้งต้นเหลือพอเข้าทำปฏิกิริยา
3. เอนไซม์ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีให้เกิดเร็วมากขึ้น โดยการไปลดพลังงานกระตุ้นของปฏิกิริยา

A. 1 และ 2
B. 1 และ 3
C. 2 และ 3
D. 1, 2 และ 3

A

D. 1, 2 และ 3
ทั้งหมดกล่าวถูกต้อง

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
8
Q

การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างมากในยุคปัจจุบันนี้ ทำให้มนุษย์เอาชนะปัจจัยจํากัดทางด้านวิทยาทางการแพทย์ จะส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของมนุษย์อย่างไร มากที่สุด

A. ทำให้ลดอัตราการตายของมนุษย์ให้น้อยลง
B. ทำให้เพิ่มอัตราการอพยพของมนุษย์ให้สูงมากขึ้น
C. ทำให้ลดอัตราการเกิดของมนุษย์ให้น้อยลง
D. ทำให้ลดปัจจัยที่ไม่ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของประชากรมนุษย์

A

อธิบาย
การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ทำให้มนุษย์สามารถรักษาโรค หรือ การบาดเจ็บที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต ซึ่งทำให้อัตราการตายลดลง นอกจากนี้การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ยังทำให้มนุษย์สามารถรักษาโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรังได้มากยิ่งขึ้น ทำให้ชีวิตประชากรมนุษย์ยืดยาวขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรมนุษย์ในเชิงความยาวนานของชีวิตและอัตราการตายลดลง

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
9
Q

ขณะที่มีการเจริญเติบโตของต้นถั่วเขียว ปลายยอดของต้นถั่วเขียวจะมีการเคลื่อนที่แบบหมุนแกว่งไปแกว่งมา ถามว่าเป็นการเคลื่อนไหวแบบใด

A. Tropic movement
B. Nutation movement
C. Nastic movement
D. Tropic movement และ Nutation movement

A

อธิบาย
ปลายยอดของต้นถั่วเขียวจะมีการเคลื่อนที่แบบหมุนแกว่งไปแกว่งมา ซึ่งเรียกว่าการเคลื่อนไหวแบบ Nutation movement

Tropic movement - การเคลื่อนไหวแบบ Tropic movement เกิดจากการตอบสนองแบบมีทิศทางต่อสิ่งเร้าภายนอกของพืช เช่น แสง หรือ แรงโน้มถ่วง แต่การเคลื่อนไหวแบบหมุนแกว่งไปแกว่งมาของปลายยอดต้นถั่วเขียวไม่ได้เกิดจากการตอบสนองแบบมีทิศทางต่อสิ่งเร้าภายนอก ดังนั้นตัวเลือกนี้ไม่ถูกต้อง

Nastic movement - การเคลื่อนไหวแบบ Nastic movement เกิดจากการตอบสนองแบบไม่มีทิศทางต่อสิ่งเร้าภายนอกของพืช เช่น อุณหภูมิ หรือ ความชื้น การสัมผัส แต่การเคลื่อนไหวแบบหมุนแกว่งไปแกว่งมาของปลายยอดต้นถั่วเขียวเกิดจากการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงภายใน คือการเจริญเติบโตที่ไม่เท่ากันของยอด

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
10
Q

ข้อใดกล่าวถูกต้อง จากการผสมพันธุ์ถั่วลันเตาทั้ง 7 คู่ลักษณะ ในการทดลองของบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์ (เมนเดล)

  1. ในการผสมระหว่างพ่อแม่พันธุ์แท้ พบว่าลูกในรุ่นที่ 1 ลักษณะที่เป็นด้อยจะหายไป
  2. ลักษณะด้อยที่หายไปในรุ่นที่ 1 จะกลับมาแสดงออกในรุ่นที่ 2 ในอัตราส่วน 1 ใน 4
  3. ลักษณะเด่นในรุ่นที่ 1 จะแสดงออกในรุ่นที่ 2 ในอัตราส่วน 3 ใน 4

A. 1 และ 2
B. 2 และ 3
C. 1 และ 3
D.1, 2 และ 3

A

D.1, 2 และ 3

ทั้งหมดกล่าวถูกต้อง

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
11
Q

ชาวสวนใช้ฮอร์โมน (hormone) ใดในการบ่มผลไม้ให้สุกเร็วขึ้น และฮอร์โมนใดที่จะยับยั้งการสุกของผลไม้

A. ออกซิน (auxin) และกรดแอบไซซิก (abscisic acid)
B. เอทิลีน (Ethylene) และไซโทไคนิน (Cytokinin)
C. เอทิลีน (Ethylene) และกรดแอบไซซิก (abscisic acid)
D. จิบเบอเรลลิน (gibberellin) และเอทิลีน (Ethylene)

A

อธิบาย
เอทิลีน (Ethylene) นั้นมีบทบาทสำคัญในการบ่มผลไม้ให้สุกเร็วขึ้น และไซโทไคนิน (Cytokinin) นั้นมีบทบาทในการยับยั้งการสุกของผลไม้

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
12
Q

จากข้อมูลให้นักศึกษาตอบคำถาม ในการผสมพันธุ์ถั่วลันเตามียืนควบคุมต่อไปนี้

R = เมล็ดเรียบ
r = เมล็ดขรุขระ
Y = เมล็ดสีเหลือง
y = เมล็ดสีเขียว
T = ต้นสูง
t = ต้นเตี้ย

ทำการผสมพันธุ์ระหว่างต้นพ่อและแม่พันธุ์ที่เป็นพันธุ์แท้ (ยีนเป็น homozygous) ระหว่างเมล็ดเรียบ เมล็ดสีเหลือง และต้นสูง กับเมล็ดขรุขระ เมล็ดสีเขียว และต้นเตี้ย ถามว่าลูกในรุ่นที่ 2 (F2) มีโอกาสที่จะมีจีโนไทป์เป็น RrYyTt ในอัตราส่วนในข้อใด

A. 1/8
B. 1/32
C. 1/64
D. 1/128

A

อธิบาย
(Rr): ความน่าจะเป็นในการเกิดเป็น Rr คือ 1/2 (เพราะจะได้ R จากพ่อ และ r จากแม่)

(Yy): ความน่าจะเป็นในการเกิดเป็น Yy คือ 1/2 (เพราะจะได้ Y จากพ่อ และ y จากแม่)

(Tt): ความน่าจะเป็นในการเกิดเป็น Tt คือ 1/2 (เพราะจะได้ T จากพ่อ และ t จากแม่)

เราสามารถหาความน่าจะเป็นโดยการคูณความน่าจะเป็นของแต่ละยีน: (1/2) x (1/2) x (1/2) = 1/8

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
13
Q

ในกรณีที่เป็นถั่วลันเตาต้นสูงที่เป็น TT หรือ Tt ถ้าเราทำการผสมกับตัว tester ที่เป็น tt (homozygous recessive) เพื่อที่จะทำการแยกว่าต้นถั่วลันเตาของเรามีจีโนไทป์เป็นแบบใด ถามว่าเราจะสังเกตได้จากอะไร

A. ถ้าเป็น Tt ลูกที่ได้จะมีต้นเตี้ยออกมาทั้งหมด
B. ถ้าเป็น Tt ลูกที่ได้จะมีต้นสูงออกมาทั้งหมด
C. ถ้าเป็น Tt ลูกที่ได้จะมีต้นสูง: ต้นเตี้ย (3 : 1)
D. ถ้าเป็น Tt ลูกที่ได้จะมีต้นสูง: ต้นเตี้ย (1 : 1)

A

อธิบาย
เมื่อผสมกับตัว tester ที่เป็น tt (homozygous recessive) ถ้าต้นถั่วลันเตาของเราเป็น Tt (heterozygous) ลูกที่ได้จะมีสัดส่วนที่เป็น 1:1 ระหว่างต้นสูง (Tt) และต้นเตี้ย (tt)

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
14
Q

การจำแนกตามโครงสร้างชั้นเกสรเพศในดอกไม้ แบ่งดอกไม้ได้ 2 ชนิด คือ ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) และดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) ข้อใดต่อไปนี้ กล่าวไม่ถูกต้อง

A. ดอกสมบูรณ์เพศ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นดอกสมบูรณ์
B. ดอกไม่สมบูรณ์ อาจจัดได้ว่าเป็นดอกสมบูรณ์เพศได้
C. ดอกสมบูรณ์ จัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศเสมอ
D. ดอกไม่สมบูรณ์เพศ ต้นพืชจะต้องแยกกันอยู่คนละต้นเสมอ

A

D. ดอกไม่สมบูรณ์เพศ ต้นพืชจะต้องแยกกันอยู่คนละต้นเสมอ

ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) ไม่จำเป็นต้องมาจากต้นพืชที่แยกกัน สามารถมาจากต้นพืชเดียวกันได้ หรือมาจากต้นพืชที่แยกกันอยู่คนละต้นก็ได้ ดอกไม่สมบูรณ์เพศหมายถึงดอกไม้ที่มีเฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง (เช่น มีแต่เกสรเพศผู้ หรือมีแต่เกสรเพศเมีย) แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องมาจากต้นพืชคนละต้น

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
15
Q

การเคลื่อนย้ายและการอพยพของสิ่งมีชีวิตชนิด (species) เดียวกัน จากประชากรหนึ่งไปสู่อีกประชากรหนึ่ง และเกิดการผสมพันธุ์ระหว่างกันได้ ส่งผลทำให้แอลลีล (alleles) จากประชากรหนึ่งถูกถ่ายทอดไปให้อีกประชากรหนึ่ง ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ 2 ประชากรนี้

A. ถ้า 2 ประชากรมีการเคลื่อนย้ายยีน (gene flow) สูง จะทำให้ 2 ประชากรที่มีลักษณะพันธุกรรมที่แตกต่างกันมากขึ้น
B. ถ้า 2 ประชากรมีการเคลื่อนย้ายยีนสูง จะทำให้ 2 ประชากรนี้มีลักษณะพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกันมากขึ้น
C. ถ้า 2 ประชากรมีการเคลื่อนย้ายยีนต่ำ จะทำให้ 2 ประชากรที่มีลักษณะพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกันมากขึ้น
D. ถ้า 2 ประชากรมีการเคลื่อนย้ายยีนต่ำ จะทำให้ 2 ประชากรนี้มีลักษณะพันธุกรรมที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง

A

อธิบาย
การเคลื่อนย้ายยีน (gene flow) เป็นการถ่ายทอดแอลลีลระหว่างประชากรต่างๆ ในสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน การเคลื่อนย้ายยีนสูงจะทำให้ประชากรมีลักษณะพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกันมากขึ้น และมีความหลากหลายทางพันธุกรรมน้อยลง ตรงกันข้ามถ้าหากการเคลื่อนย้ายยีนหยุดไป ประชากรจะเริ่มแยกตัวจากกันทางพันธุกรรม และอาจนำไปสู่การเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ได้

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
16
Q

ในการตัดถนนเข้าไปในพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งที่ยังไม่มีการบุกรุกโดยมนุษย์ เมื่อกาลเวลาได้ผ่านไปอีกหลายร้อยปี ถามว่าตามหลักการวิวัฒนาการ (evolution) ของสิ่งมีชีวิต จะมีโอกาสเกิดสิ่งใดขึ้นได้มากที่สุด

A. มีนกชนิดใหม่เกิดขึ้นในพื้นที่ด้านฝั่งใดฝั่งหนึ่งของถนนสายนี้
B. มีฝูงกระรอกอพยพมาอยู่อาศัยอยู่ทั้ง 2 ฝั่งถนนของถนนสายนี้
C. มีอึ่งอพยพมาอยู่อาศัยในพื้นที่ด้านฝั่งใดฝั่งหนึ่งของถนนสายนี้
D. มีหอยชนิดใหม่เกิดขึ้นในพื้นที่ด้านฝั่งใดฝั่งหนึ่งของถนนสายนี้

A

อธิบาย
การตัดถนนเข้าไปในพื้นที่ป่าอาจมีผลกระทบต่อการเคลื่อนที่และการแพร่กระจายของสัตว์และพืชในพื้นที่ดังกล่าว ด้วยการสร้างถนนเข้าไปอาจทำให้เกิด “การตัดขาดทางชีวภาพ” (habitat fragmentation) และอาจจะทำให้สิ่งมีชีวิตในพื้นที่ป่านั้นไม่สามารถเคลื่อนที่ข้ามถนนได้
วิเคราะห์ตัวเลือก
A. มีโอกาสเกิดขึ้นเมื่อพื้นที่ด้านฝั่งใดฝั่งหนึ่งของถนนมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากฝั่งตรงข้าม แต่แรงกดดันวิวัฒนาการยังมีน้อยเพราะนกสามารถบินหากันได้ทำให้นกไม่เกิดเป็นสปีชีส์ใหม่
B. ฝูงกระรอกอาจอยู่อาศัยอยู่ทั้ง 2 ฝั่งถนน หรือย้ายที่อยู่อาศัยเมื่อพบภัยคุกคามหรือหาอาหารไม่พอในพื้นที่เดิม
C. อึ่งอพยพเป็นเรื่องปกติถ้าพื้นที่ป่ามีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
D. หอยมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยเนื่องจากการสร้างถนนไม่มีผลกระทบต่อน้ำหรือสภาพแวดล้อมทางน้ำ และหอยเคลื่อนที่ไม่ได้

ดังนั้น ถ้าพิจารณาจากผลกระทบของการตัดถนนและการวิวัฒนาการ ข้อ C มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุดเนื่องจากอึ่งจะอยู่ในฝั่งที่มีแหล่งน้ำ และอึ่งเป็นสัตว์ที่สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ง่ายและเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
17
Q

จากการที่สัตว์ชนิดหนึ่งสามารถทนทานต่อปัจจัยต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมได้ในช่วงกว้าง เช่น อุณหภูมิ ความชื้น เป็นต้น ถามว่าจะส่งผลทำให้เกิดอะไรขึ้นกับสัตว์ชนิดนี้

A. ส่งผลให้สัตว์ชนิดนี้ออกลูกครั้งละเป็นจำนวนมาก
B. สัตว์ชนิดนี้สามารถอาศัยอยู่ได้ในถิ่นที่อยู่อาศัยได้หลากหลายแบบ
C. ทำให้สัตว์ชนิดนี้เป็นผู้บริโภคอันดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหาร
D. ทำให้สัตว์ชนิดนี้สามารถสืบพันธุ์ได้แบบทั้งอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศ

A

อธิบาย
สัตว์ที่สามารถทนทานต่อปัจจัยต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมได้ในช่วงกว้างมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม และมีความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ดี ดังนั้น สัตว์ชนิดนี้สามารถอาศัยอยู่ได้ในถิ่นที่อยู่อาศัยได้หลากหลายแบบ

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
18
Q

จากข้อมูลต่อไปนี้ให้นักศึกษาตอบคำถาม

DNA สายที่แรก 5’ ATGCCTGAATTCTAA 3’
DNA สายที่สอง 3’ —————————– 5’

ถามว่าในกรณีที่ดีเอ็นเอสายที่สองเป็นแม่พิมพ์สร้าง m-RNA ออกมา ข้อใด คือ สาย m-RNA ที่ได้จากการสร้างของดีเอ็นเอสายที่สอง

A. AUGCCUGTTUUCUAA
B. AUGGGUGAAUUCUAA
C. AUGCCUGAAUUCAUA
D. AUGCCUGAAUUCUAA

A

อธิบาย
จากสาย DNA แรกที่กำหนดให้ 5’ ATGCCTGAATTCTAA 3’ เราจะสามารถสร้างสาย DNA ที่สองได้ดังนี้:

3’ TACGGACTTAAGATT 5’

ดังนั้นสาย mRNA ที่สร้างขึ้นจากสาย DNA ที่สองนี้จะเป็น:

5’ AUGCCUGAAUUCUAA 3’

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
19
Q

ในกรณีที่พืชมีจำนวนโครโมโซมดิพลอยด์ (diploid) เท่ากับ 4 แท่ง ถามว่าเมื่อสิ้นสุดการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ (meiosis) แต่ละเซลล์จะมีจำนวนโครโมโซม และโครมาทิดเป็นเช่นใด

A. 4 โครโมโซม และ 4 โครมาทิด
B. 2 โครโมโซม และ 2 โครมาทิด
C. 2 โครโมโซม และ 4 โครมาทิด
D. 4 โครโมโซม และ 2 โครมาทิด

A

อธิบาย
การแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ (meiosis) จะลดจำนวนโครโมโซมลงเป็นครึ่งหนึ่ง

ในกรณีนี้พืชมีโครโมโซมดิพลอยด์ (diploid) เท่ากับ 4 แท่ง ดังนั้นในการแบ่งเซลล์ meiosis จะได้

2 โครโมโซม (แต่ละเซลล์มีโครโมโซม 1 ชุด)
2 โครมาทิด

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
20
Q

ในกรณีที่เซลล์นำสารอะซิติลโคเอนไซม์ เอ (acetyl CoA) จำนวนเท่ากับ 5 โมเลกุล (molecule) แล้วนำเข้าสู่ไมโทคอนเดรีย (mitochondrion) ถามว่าจะผลิต ATP (adenosine triphosphate) ได้จำนวนเท่าใด

A. 60 โมเลกุล
B. 120 โมเลกุล
C. 180 โมเลกุล
D. 210 โมเลกุล

A

อธิบาย
วัฏจักรเครป (tricarboxylic acid cycle : TCA cycle) จะใช้ 1 โมเลกุล acetyl CoA และผลิต GTP หรือ ATP (ซึ่งสามารถแปลงกันได้ 1:1) 1 โมเลกุล ,NADH 3 โมเลกุล , และ FADH2 1 โมเลกุล

ATP จากกระบวนการ ETC (oxidative phosphorylation)
ใช้ 1 โมเลกุล NADH ในการผลิต 3 ATP และใช้ 1 โมเลกุล FADH2 ในการผลิต 2 ATP

จากโจทย์กำหนดให้ acetyl CoA มีจำนวน 5 โมเลกุล:
ในวัฏจักรเครป (tricarboxylic acid cycle : TCA cycle) จะได้
5 โมเลกุล ATP ผลิตจาก TCA cycle
15 โมเลกุล NADH ผลิตจาก TCA cycle
5 โมเลกุล FADH2 ผลิตจาก TCA cycle

ATP จากกระบวนการ ETC (oxidative phosphorylation)
จะได้ 45 ATP
ผลิตจาก NADH (15 โมเลกุล NADH * 3 = 45 ATP)
จะได้ 10 ATP
ผลิตจาก FADH2 (5 โมเลกุล FADH2 * 2 = 10 ATP)
เมื่อรวม ATP ทั้งหมดที่ผลิตจากกระบวนการทั้งสอง: 5 + 45 + 10 = 60 ATP

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
21
Q

การศึกษาขนาดของประชากรสัตว์ด้วยวิธีการจับมาทำเครื่องหมาย (mark and recapture method) ในประชากรหนูชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าพื้นที่หนึ่ง ครั้งแรกดักจับมาได้ 20 ตัว แล้วทำเครื่องหมายแล้วปล่อยกลับเข้าไปในพื้นที่เดิม อีก 3 เดือนต่อมาทำการดักจับหนูมาได้ 30 ตัว พบว่าเป็นหนูที่ทำเครื่องหมายไว้ในการดักจับครั้งแรก 5 ตัว ถามว่าประชากรหนูชนิดนี้ในทุ่งหญ้าแห่งนี้มีอยู่ประมาณกี่ตัว

A. 120 ตัว
B. 150 ตัว
C. 180 ตัว
D. 200 ตัว

A

อธิบาย
จากข้อมูลในคำถาม:

จำนวนที่ทำเครื่องหมายในครั้งแรก = 20
จำนวนที่ทำเครื่องหมายแล้วจับนำได้ = 5
จำนวนที่จับนำได้ในครั้งที่สอง = 30

เราสามารถแทนค่าลงในสมการได้ว่า:

ประชากรทั้งหมด/20 = 30/5
ประชากรทั้งหมด = 20 * 30 / 5

ประชากรทั้งหมด = 120 ตัว

22
Q

ในการสำรวจหมู่เลือด MN ของประชากรกลุ่มหนึ่ง ได้หมู่เลือดต่าง ๆ ดังนี้

หากว่าบุคคลในประชากรมีการแต่งงานแบบสุ่ม ในชั่วรุ่นต่อไปความถี่ของสภาพยืนดังกล่าว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราสามารถหาค่าคาดหวัง (expected, E) การกระจายตัวของหมู่เลือด MN นี้ได้จากประชากรที่เราใช้ในการศึกษาทั้งสิ้น 200 คน ถามว่าจะมีคนที่มีหมู่เลือด MM ประมาณกี่คน

A. 70 คน
B. 74 คน
C. 78 คน
D. 72 คน

A

อธิบาย
ประชากรมีจำนวน 200 คน
หมู่เลือด MM จำนวน 76 คน ความถี่จีโนไทป์เท่ากับ 0.38
หมู่เลือด MN จำนวน 92 คน ความถี่จีโนไทป์เท่ากับ 0.46
หมู่เลือด NN จำนวน 32 คน ความถี่จีโนไทป์เท่ากับ 0.16

ความถี่ของยีน M (p) สามารถคำนวณได้จาก:
p = ((2 * จำนวน MM) + จำนวน MN) / (2 * จำนวนประชากร)
= (276 + 92) / (2,200)
= (244) / (400)
= 0.61

ความถี่ของยีน N (q) สามารถคำนวณได้จาก:
q = 1 - p
= 1 - 0.61
= 0.39

ค่าคาดหวังของจำนวนหมู่เลือด MM (E) สามารถคำนวณได้จาก:
E = (p^2) * จำนวนประชากร
= (0.61^2) * 200
= (0.3721) * 200
= 74.42

ดังนั้นคำตอบคือ 74 คน

23
Q

ข้อใดต่อไปนี้กล่าว ไม่ถูกต้อง

A. การแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ระยะโพรเฟส (prophase) 1 แบ่งออกได้เป็น 5 ระยะ คือ leptotene, zygotene, pachytene, diplotene และ diakinesis
B. การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ในพืชชั้นสูงจะมีความแตกต่างกับสัตว์ชั้นสูง ตรงที่เมื่อมีการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์แล้ว จะต้องมีการแบ่งเซลล์ร่างกายตามมาอีก
C. กฎเมนเดลมี 2 ข้อ ข้อที่ 1 กฎการจับคู่กันอย่างอิสระของยีน (law of segregation of gene) กฎข้อที่ 2 กฎการแยกตัวของยีน (law of independent assortment)
D. การข่มของยีนแบบข่มร่วม (codominant) สมมุติว่าเป็นยีนที่ควบคุมสีของดอกไม้ จะพบว่าพืชที่มีจีโนไทป์ Aa จะให้สีดอกครึ่งหนึ่งสีแดง และอีกครึ่งหนึ่งสีขาว

A

อธิบาย
การข่มของยีนแบบข่มร่วม (codominant) ยีนทั้งสองจะแสดงคุณสมบัติอย่างคนละครึ่ง หรือแสดงออกทั้งคู่ (ไม่ใช่ผสมสีนะ แต่จะเป็นลายด่าง) ไม่ใช่การแบ่งสีดอกเป็นครึ่งหนึ่งสีแดง และอีกครึ่งหนึ่งสีขาว

24
Q

ภาวะสมดุล (equilibrium) ของความถี่ยีน (gene frequency) ในประชากรหนึ่ง ๆ จะคงที่ต้องอยู่ในเงื่อนไขในข้อใด

  1. แต่ละจีโนไทป์ (genotype) มีความสามารถในการสืบพันธุ์ในอัตราที่เท่ากัน
  2. ประชากรต้องมีจำนวนที่มากพอ
  3. มีการแต่งงาน หรือผสมพันธุ์แบบสุ่ม (random mating)

A. 1 และ 2
B. 1 และ 3
C. 2 และ 3
D. 1, 2 และ 3

A

D. 1, 2 และ 3

25
สัตว์ที่มีสิ่งปกคลุมร่างกายเรียกว่า “feather” เป็นสัตว์ที่จัดอยู่ในชั้น (Class) ใด A. Class Amphibia B. Class Reptilia C. Class Aves D. Class Mammalia
C. Class Aves ------------------------------------------- **อธิบาย** * Class Amphibia ไม่มีขนปกคลุมร่างกาย * Class Reptilia มีเกล็ดปกคลุมร่างกาย * Class Aves มีขนแบบ Feather ปกคลุมร่างกาย * Class Mammalia มีขนแบบ Fur ปกคลุมร่างกาย
26
ลักษณะตามข้อใดที่พบในสิ่งมีชีวิตกลุ่มที่เรียกว่า K-selected species เมื่อเปรียบเทียบกับ r-selected species A. เข้าถึงวัยเจริญพันธุ์และเริ่มมีลูกเร็ว B. มีอัตราการตายสูง C. มีอายุขัยสั้น D. อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความผันแปรน้อย
D. อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความผันแปรน้อย ------------------------------------------- **อธิบาย** K-selected species มักจะมีระดับการเจริญเติบโตที่ช้ากว่า r-selected species และมีลักษณะที่ทำให้เหมาะสมกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความผันแปรน้อย นอกจากนี้ K-selected species ยังมีการผลิตลูกน้อย แต่ลงทุนมากในการเลี้ยงดูมาก ในขณะที่ r-selected species มีการผลิตลูกมาก แต่ลงทุนน้อยในการเลี้ยงดูน้อยกว่า
27
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ได้บรรจุบัญชีสัตว์ป่าสงวนของไทยไว้ จำนวน 19 ชนิด ได้แก่ กระขู่ กวางผา กูปหรือโคไพร เก้งหม้อ ควายป่า พะยูนหรือหมูน้ำ แมวลาย หินอ่อน แรด ละองหรือละมั่ง เสียงผาหรือเรื่องหรือกูรำหรือโครำ วาฬบรูด้า วาฬโอมูระ สมเสร็จ สมันหรือเนื้อสมัน นกกระเรียน นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร นกแต้วแล้วท้องดำ เต่ามะเฟือง ปลาฉลาม วาฬ จากรายชื่อทั้งหมด สัตว์ป่าสงวนชนิดใดที่สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้เรียบร้อยแล้ว A. กูปรีหรือโคไพร B. แรด C. สมันหรือเนื้อสมัน D. นกแต้วแล้วท้องดำ
A. กูปรีหรือโคไพร B. แรด C. สมันหรือเนื้อสมัน *** ข้อนี้น่าจะถามว่าข้อใดยังไม่สูญพันธุ์มากกว่า ------------------------------------------- **อธิบาย** สัตว์ป่าสงวนของไทยไว้จำนวน 19 ชนิด ได้แก่ #กลุ่มสัตว์ป่าจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 1. กระซู่ 2. กวางผา 3. กูปรีหรือโคไพร 4. เก้งหม้อ 5. ควายป่า 6. พะยูนหรือหมูน้ำ 7. แมวลายหินอ่อน 8. แรด 9. ละองหรือละมั่ง 10. เลียงผาหรือเยืองหรือกูรำหรือโครำ 11. วาฬบรูด้า 12. วาฬโอมูระ 13. สมเสร็จ 14. สมันหรือเนื้อสมัน #สัตว์ป่าจำพวกนก 1. นกกระเรียน 2. นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร 3. นกแต้วแล้วท้องดำ #สัตว์ป่าจำพวกสัตว์เลื้อยคลาน 1. เต่ามะเฟือง #สัตว์ป่าจำพวกปลา 1. ปลาฉลามวาฬ
28
ข้อใดบอกหน้าที่ของน้ำมะพร้าว และเนื้อมะพร้าวได้ ถูกต้อง มากที่สุด A. เป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่เป็นเอนโดสเปิร์ม (endosperm) เพื่อสะสมอาหารในรูปคาร์โบไฮเดรต B. เป็นโครงสร้างทำหน้าที่สะสมอาหารเอาไว้เลี้ยงเอนโดสเปิร์ม C. เป็นเอนโดสเปิร์มที่มีโครโมโซม 2 ชุด (diploid) เพื่อเลี้ยงเอ็มบริโอ (embryo) D. เป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่เป็นเอนโดสเปิร์มเพื่อเลี้ยงเอ็มบริโอ
D. เป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่เป็นเอนโดสเปิร์มเพื่อเลี้ยงเอ็มบริโอ ------------------------------------------- **อธิบาย** ในมะพร้าว, น้ำมะพร้าวและเนื้อมะพร้าวทั้งสองส่วนทำหน้าที่เป็นเอนโดสเปิร์ม (endosperm) โดยน้ำมะพร้าวเป็นเอนโดสเปิร์มที่เป็นของเหลว ในขณะที่เนื้อมะพร้าวเป็นเอนโดสเปิร์มที่เป็นของแข็ง ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ให้อาหารแก่เอ็มบริโอ (embryo)
29
ดีดีที (DDT, Dichlorodiphenyltrichloroethane) เป็นยาฆ่าแมลงที่มักพบปนเปื้อนตาม แหล่งน้ำในพื้นที่เกษตรกรรม สิ่งมีชีวิตในข้อใดมีปริมาณการสะสมของดีดีที่มากที่สุด A. แมลง B. ปลา C. หอย D. ชาวนาที่หาอาหารที่มีในแหล่งน้ำ
D. ชาวนาที่หาอาหารที่มีในแหล่งน้ำ ------------------------------------------- **อธิบาย** ดีดีทีเป็นสารเคมีที่สะสมในอวัยวะของสิ่งมีชีวิตผ่านกระบวนการ bioaccumulation และ biomagnificationโดยสารเคมีจะสะสมในสิ่งมีชีวิตระดับที่สูงขึ้นของระบบนิเวศ ทำให้สิ่งมีชีวิตในระดับบนของโซ่อาหารมีปริมาณสารเคมีที่สะสมมากกว่าสิ่งมีชีวิตในระดับต่ำๆ ดังนั้นชาวนาที่หาอาหารจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนดีดีทีจะมีปริมาณการสะสมดีดีทีมากที่สุด เนื่องจากเขาอยู่ในระดับบนสุดของโซ่อาหาร
30
สัตว์ในไฟลัม (Phylum) ใดที่เซลล์ยังไม่มีการพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อที่ชัดเจน A. Phylum Annelida B. Phylum Cnidaria C. Phylum Porifera D. Phylum Rotifera
C. Phylum Porifera ------------------------------------------- **อธิบาย** สัตว์ในไฟลัม Porifera หรือฟองน้ำ (sponges) ไม่มีการพัฒนาเนื้อเยื่อที่แท้จริง เซลล์เหล่านี้มารวมกัน แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ร่วมกันแบบที่พบในเนื้อเยื่อของสัตว์ชั้นสูง ฟองน้ำมีโครงสร้างที่เรียบง่ายมากและไม่มีอวัยวะที่แท้จริง
31
ปลาแซลมอนตัวเมียจะวางไข่ทีละ 2,000 ถึง 10,000 ฟอง ขึ้นอยู่กับชนิด จากข้อมูลดังกล่าวปลาแซลมอนถูกจัดอยู่ในกราฟของการอยู่รอด (Survivorship curve) ประเภทใด A. Type I B. Type II C. Type III D. Type IV
C. Type III ------------------------------------------- **อธิบาย** ปลาแซลมอนถูกจัดอยู่ในกราฟของการอยู่รอด (Survivorship curve) ประเภท III ในกราฟประเภทนี้สิ่งมีชีวิตจะมีอัตราการอดในวันเด็กต่ำ เมื่อมีชีวิตรอดอัตราการรอดจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเป็นสัตว์จะมีการวางไข่หรือให้กำเนิดลูกจำนวนมาก โดยแต่ละฟองที่จะมีอัตราการอดในวันเด็กต่ำ เมื่อมีชีวิตรอดอัตราการรอดจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างของสัตว์ประเภทนี้รวมถึง ปลา, กุ้ง, แมลง และสัตว์ตามตัวอื่นๆ ที่มีการวางไข่หรือให้กำเนิดลูกจำนวนมาก
32
กลุ่มสัตว์ดิวเทอโรสโตเนีย (Deuterostomia) มีบลาสโทพอร์ (blastopore) พัฒนาไปเป็นส่วนของทวารหนัก (anus) สัตว์ในฟลัม (Phylum) ใดจัดอยู่ในกลุ่มดิวเทอโรสโตเนีย A. Annelida และ Echinodermata B. Mollusca และ Arthropoda C. Arthropoda และ Chordata D. Echinodermata และ Chordata
D. Echinodermata และ Chordata ------------------------------------------- **อธิบาย** สัตว์ในฟลัม Echinodermata และ Chordata จัดอยู่ในกลุ่มดิวเทอโรสโตเนีย (Deuterostomia) ซึ่งเป็นกลุ่มสัตว์ที่มีบลาสโทพอร์ (blastopore) พัฒนาไปเป็นส่วนของทวารหนัก (anus)
33
โรคพยาธิใบไม้ในตับคนเกิดจากสัตว์ในไฟลัม (Phylum) ใด A. Phylum Annelida B. Phylum Mollusca C. Phylum Nematoda D. Phylum Platyhelminthes
D. Phylum Platyhelminthes ------------------------------------------- **อธิบาย** โรคพยาธิใบไม้ในตับของคนเกิดจากสัตว์ในไฟลัม Phylum Platyhelminthes ซึ่งเป็นไฟลัมของหนอนตัวแบน และพยาธิตัวแบน
34
ข้อใดต่อไปนี้ที่บอกถึงชนิดย่อย (subspecies) A. *Panthera tigris* B. *Panthera tigris* (Linnaeus, 1758) C. *Panthera tigris tigris* D. *Panthera (tigris) tigris*
C. *Panthera tigris tigris* ------------------------------------------- **อธิบาย** การจัดชื่อวิทยาศาสตร์ (scientific name) ของสิ่งมีชีวิตมีทั้งหมด 3 ระดับ คือ สกุล (genus) ชื่อระบุชนิด (specefic epithet) ชนิดย่อย (subspecies) และ ชื่อสกุลจะเขียนด้วยตัวอักษรตัวใหญ่ แต่ชื่อระบุชนิดและชนิดย่อยจะเขียนด้วยตัวอักษรตัวเล็ก โดยทั่วไปชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตจะประกอบด้วยชื่อสกุลและชื่อระบุชนิด ส่วนชื่อชนิดย่อยจะเป็นการเพิ่มชื่อที่สามเข้าไปในท้ายชื่อชนิด
35
ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์มีกระดูกสันหลัง A. กบ (ตัวเต็มวัย) ใช้ปอดและผิวหนังในการแลกเปลี่ยนแก๊ส B. ตุ๊กแกใช้ปอดในการแลกเปลี่ยนแก๊ส C. นกมีปอดและถุงลม (Air sacs) ทำหน้าที่ช่วยในการแลกเปลี่ยนแก๊ส D. การแลกเปลี่ยนแก๊สในนกจะเกิดที่ Parabronchi
C. นกมีปอดและถุงลม (Air sacs) ทำหน้าที่ช่วยในการแลกเปลี่ยนแก๊ส ------------------------------------------- **อธิบาย** นกมีปอดและถุงลม (Air sacs) ทำหน้าที่ช่วยในเก็บอากาศ ก่อนส่งไปที่ปอดของนก มีการปรับอากาศแบบ unidirectional ซึ่งทำให้นกสามารถแลกเปลี่ยนแก๊สได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าสัตว์มีกระดูกสันหลังตัวอื่นๆ แต่ถุงลมไม่ได้ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส
36
ข้อใดคือความหมายของคำว่า ประชากร (Population) A. กลุ่มของสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่มาอยู่ร่วมกันในพื้นที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน B. กลุ่มของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่มาอยู่ร่วมกันในพื้นที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และมีการผสมพันธุ์อยู่ภายในกลุ่มเดียวกัน C. กลุ่มของสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีปฏิสัมพันธ์และการผสมพันธุ์ระหว่างสมาชิกของแต่ละพื้นที่ D.กลุ่มของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีปฏิสัมพันธ์และการผสมพันธุ์ระหว่างสมาชิกของแต่ละพื้นที่
B. กลุ่มของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่มาอยู่ร่วมกันในพื้นที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และมีการผสมพันธุ์อยู่ภายในกลุ่มเดียวกัน ------------------------------------------- **อธิบาย** ประชากร (Population) หมายถึง กลุ่มของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และมีการผสมพันธุ์อยู่ภายในกลุ่มเดียวกัน
37
ส่วนใดของระบบย่อยอาหาร (digestive system) ที่มีการย่อยและการดูดซึมอาหารมากที่สุด A. ช่องปาก (Oral cavity) B. กระเพาะอาหาร (stomach) C. ลำไส้เล็ก (Small intestine) D. ลำไส้ใหญ่ (large intestine)
C. ลำไส้เล็ก (Small intestine) ------------------------------------------- **อธิบาย** ลำไส้เล็กเป็นส่วนของระบบย่อยอาหารที่มีการย่อยและการดูดซึมอาหารมากที่สุด เป็นที่ที่การย่อยของแป้ง โปรตีน และไขมันจนเสร็จสิ้น และการดูดซึมของสารอาหารทั้งหมดเกิดขึ้นที่นี่ รวมถึงวิตามิน แร่ธาตุ น้ำ และเอนไซม์ ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย
38
สมองส่วนใดที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการใช้ภาษาและการมีเหตุผล A. Cerebral hemisphere ด้านซ้าย B. Cerebral hemisphere ด้านขวา C. Cerebellum D. Hypothalamus
A. Cerebral hemisphere ด้านซ้าย ------------------------------------------- **อธิบาย** สมองส่วน Cerebral hemisphere ด้านซ้ายมีความเกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาและการมีเหตุผล ด้านนี้ของสมองมักจะเกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลแบบตรรกะ (logical processing), การคิดแบบลำดับ, การใช้ภาษา, การอ่าน, และการเขียน.
39
สัตว์เคี้ยวเอื้อง (ruminant) มีกระเพาะอาหาร 4 ส่วน ส่วนใดที่ทำหน้าที่เป็นกระเพาะที่แท้จริงและทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร A. Rumen B. Reticulum C. Omasum D. Abomasum
D. Abomasum ------------------------------------------- **อธิบาย** กระเพาะอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง (ruminant) มี 4 ส่วน ได้แก่ Rumen, Reticulum, Omasum และ Abomasum แต่เฉพาะ Abomasum ที่เป็นกระเพาะที่แท้จริงและทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร โดยใน Abomasum จะมีการหลั่งเอนไซม์เป็นกรดที่มีส่วนในการย่อยโปรตีนในอาหาร
40
เส้นเลือดใดที่ทำหน้าที่นำเลือดที่มี CO2 ไปฟอกที่ปอด A. Pulmonary artery B. Pulmonary vein C. Anterior vena cava D. Subclavian vein
A. Pulmonary artery ------------------------------------------- **อธิบาย** เส้นเลือดที่นำเลือดที่มี CO2 ไปฟอกที่ปอดคือ Pulmonary artery ซึ่งเป็นเส้นเลือดที่นำเลือดจากหัวใจไปยังปอดเพื่อฟอกที่ปอด และแลกเปลี่ยนแก๊สกับปอด โดยในกระบวนการนี้ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จะถูกถ่ายออกจากเลือดและปล่อยออกไปในอากาศ ในขณะที่ออกซิเจน (O2) จะถูกดูดเข้ามาในเลือด.
41
โครงสร้างใดที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวของสัตว์ A. Lateral line B. Semicircular canals C. Cochlea D. Malleus, Incus และ Stapes
B. Semicircular canals ------------------------------------------- **อธิบาย** Semicircular canals คือโครงสร้างภายในหูภายในที่มีหน้าที่สำคัญในการทรงตัวและความสมดุลของร่างกาย มีแบ่งเป็น 3 ทิศทาง: แนวนอน (horizontal), แนวตั้ง (vertical) และแนวทแยง (oblique) สัญญาณจาก semicircular canals จะถูกส่งไปยังระบบประสาทที่ช่วยในการปรับตำแหน่งของร่างกายทำให้สัตว์สามารถทรงตัวได้ Lateral line คือระบบประสาทของปลาและสัตว์น้ำบางชนิดที่ช่วยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในแรงดันของน้ำและการสัมผัสรอบ ๆ ร่างกาย ซึ่งใช้ในการตรวจจับปัจจัยภายนอก เช่น ปลาอื่น ๆ ที่เข้าใกล้ แต่ไม่ได้มีการเกี่ยวข้องกับการทรงตัว Cochlea คือโครงสร้างภายในหูภายในที่มีหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงที่เข้ามาในรูปของการสั่นสะเทือนของเส้นประสาทไปยังสัญญาณประสาทแบบไฟฟ้า ซึ่งส่งไปยังสมอง ไม่ได้มีการเกี่ยวข้องกับการทรงตัว Malleus, Incus และ Stapes คือ กระดูกค้อน ทั่ง โกลน ที่รู้จักกันในชื่อ ossicles ซึ่งตั้งอยู่ภายในหูกลาง มีหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งสัญญาณเสียงจากหูชั้นนอกผ่านหูชั้นกลางไปยังหูชั้นภายใน ไม่ได้มีการเกี่ยวข้องกับการทรงตัว
42
เม็ดเลือดขาว (Leukocyte) ชนิดใดที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างแอนติบอดี (antibody) A. Monocyte B. Neutrophil C. Basophil D. Lymphocyte
D. Lymphocyte ------------------------------------------- **อธิบาย** เม็ดเลือดขาวชนิด B Lymphocyte (B cell) มีหน้าที่สร้างแอนติบอดี (antibody) ที่ใช้ในการต่อสู้กับเชื้อโรคแบบจำเพาะเจาะจง
43
ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการเติบโตแบบ Exponential growth ของประชากร A. ประชากรมีการเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก B. ค่า r (per capita growth rate) มีค่าไม่คงที่ แต่จะมีค่ามากกว่า 0 C. กราฟของการเติบโตเป็นรูปตัวเจ (J-shaped) D. อัตราการเกิดของประชากรมากกว่าอัตราการตาย
B. ค่า r (per capita growth rate) มีค่าไม่คงที่ แต่จะมีค่ามากกว่า 0 ------------------------------------------- **อธิบาย** การเติบโตแบบ Exponential growth, ค่า r (per capita growth rate) มีค่าคงที่และมากกว่า 0 การเติบโตของประชากรไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยจำกัดของทรัพยากรหรือความจุของสภาพแวดล้อม
44
ไฟลัม Porifera มีโครงสร้างที่ช่วยค้ำจุนร่างกายเรียกว่าอะไร A. กระดูกแข็ง (Bone) B. ขวาก (Spicule) C. เกล็ด (Scale) D. กระดูกอ่อน (Cartilage)
B. ขวาก (Spicule) ------------------------------------------- **อธิบาย** โครงสร้างที่ช่วยค้ำจุนร่างกายในไฟลัม Porifera เรียกว่า ขวาก (Spicule)
45
ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับฟีโรโมน (Pheromone) A. สร้างขึ้นมาเพื่อการควบคุมการเจริญเติบโต B. สร้างขึ้นมาและปล่อยออกนอกลำตัว C. ใช้เพื่อการติดต่อสื่อสารด้านต่าง ๆ D. เป็นสารเคมีที่หลั่งหรือขับออกมาแล้วกระตุ้นการตอบสนองทางสังคมในชนิดเดียวกันและต่างชนิด
A. สร้างขึ้นมาเพื่อการควบคุมการเจริญเติบโต ------------------------------------------- **อธิบาย** โรโมนไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการควบคุมการเจริญเติบโต แต่เป็นสารเคมีที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างสมาชิกในชนิดเดียวกัน ฟีโรโมนมีหลายฟังก์ชันในการติดต่อสื่อสาร ทั้งในการหาคู่ การกำหนดเขตที่อยู่ และการสื่อสารข้อมูลอื่น ๆ ในชนิดเดียวกัน.
46
ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับหัวใจ A. กบมีหัวใจ 3 ห้อง คือ atrium จำนวน 2 ห้อง และ ventricle จำนวน 1 ห้อง B. ตุ๊กแกมีหัวใจ 3 ห้อง คือ atrium จำนวน 2 ห้อง และ ventricle จำนวน 1 ห้อง C. จระเข้มีหัวใจ 4 ห้องแบบไม่สมบูรณ์คือ atrium จำนวน 2 ห้อง และ ventricle จำนวน 2 ห้อง โดยหัวใจห้อง ventricle จะแบ่งเป็นห้องซ้ายและขวา แต่แผ่นกั้นไม่กั้นตลอดแนว D. นกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีหัวใจ 4 ห้องแบบสมบูรณ์ คือ atrium จำนวน 2 ห้อง และ ventricle จำนวน 2 ห้อง
C. จระเข้มีหัวใจ 4 ห้องแบบไม่สมบูรณ์คือ atrium จำนวน 2 ห้อง และ ventricle จำนวน 2 ห้อง โดยหัวใจห้อง ventricle จะแบ่งเป็นห้องซ้ายและขวา แต่แผ่นกั้นไม่กั้นตลอดแนว ------------------------------------------- **อธิบาย** จระเข้มีหัวใจ 4 ห้องแบบสมบูรณ์คือ atrium จำนวน 2 ห้อง และ ventricle จำนวน 2 ห้อง โดยหัวใจห้อง ventricle จะแบ่งเป็นห้องซ้ายและขวา และมีแผ่นเยื่อกั้นตลอดแนว
47
นักเรียนคนหนึ่งมีความสนใจอยากเรียนเกี่ยวกับซาลาแมนเดอร์ (Salamander) นักเรียนคนดังกล่าวควรเลือกเรียนวิชาในข้อใดมากที่สุด A. Batrachology B. Evolution C. Herpetology D. Ichthyology
C. Herpetology ------------------------------------------- **อธิบาย** นักเรียนคนนี้ควรเลือกเรียนวิชา Herpetology เพราะ Herpetology เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลาน (เช่น snakes, lizards, amphisbaenids, turtles, terrapins, tortoises, crocodilians และ tuataras) และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก (เช่น frogs, toads, salamanders, newts และ gymnophiona) ซึ่งซาลาแมนเดอร์ (Salamander) จัดอยู่ในกลุ่มนี้.
48
ข้อใดกล่าวไม่ได้ถูกต้องเกี่ยวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) A. สมมติฐาน (Hypothesis) เป็นคำอธิบายเพื่อตอบปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นอาจถูกหรือผิดก็ได้ เนื่องจากยังไม่มีการพิสูจน์ B. สมมติฐาน (Hypothesis) เมื่อได้รับการพิสูจน์แล้วพบว่ามีโอกาสเป็นความจริงมาก สมมติฐานดังกล่าวก็จะกลายเป็นทฤษฎี (Theory) และจะถูกนำไปใช้ในการอธิบายปัญหาหรือ ทำนายปรากฏการณ์ได้อย่างถูกต้อง C. ทฤษฎี (Theory) เมื่อถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปรไปในสภาพแวดล้อมอย่างเดียวกัน ทฤษฎีดังกล่าวที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์นั้นก็จะถูกนำมาตั้งเป็นกฎ (Law) D. หลักเกณฑ์ (Principle) เกิดจากการรวมกันของทฤษฎี (Theory) และกฎ (Law) เพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ
C. ทฤษฎี (Theory) เมื่อถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปรไปในสภาพแวดล้อมอย่างเดียวกัน ทฤษฎีดังกล่าวที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์นั้นก็จะถูกนำมาตั้งเป็นกฎ (Law) ------------------------------------------- **อธิบาย** ทฤษฎี (Theory) ไม่ใช่สิ่งที่ "ถูกพิสูจน์ว่าเป็นจริงแน่นอน" แต่เป็นแค่คำอธิบายที่มีความน่าเชื่อถือสูงสำหรับการอธิบายเหตุการณ์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังมีความเป็นไปได้ที่จะถูกแทนที่หรือปรับปรุงตามข้อมูลใหม่ที่มาเพิ่มเติมในอนาคต.
49
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) มีลำดับขั้นตอนเป็นขั้น ๆ ดังข้อใดต่อไปนี้ A. การตั้งปัญหา การตั้งสมมติฐาน การทดลอง การสังเกต และการสรุปผลการทดลอง B. การสังเกต การตั้งปัญหา การตั้งสมมติฐาน การทดลอง และการสรุปผลการทดลอง C. การสังเกต การตั้งสมมติฐาน การตั้งปัญหา การทดลอง และการสรุปผลการทดลอง D. การตั้งสมมติฐาน การสังเกต การตั้งปัญหา การทดลอง และการสรุปผลการทดลอง
B. การสังเกต การตั้งปัญหา การตั้งสมมติฐาน การทดลอง และการสรุปผลการทดลอง ------------------------------------------- **อธิบาย** ลำดับขั้นตอนของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) ประกอบด้วย: * การสังเกต (Observation) * การตั้งปัญหา (Question) * การตั้งสมมติฐาน (Hypothesis) * การทดลอง (Experiment) * การสรุปผลการทดลอง (Conclusion) ## Footnote Chapter : Introduction to Biology
50
ข้อใดบอกหน้าที่ของน้ำมะพร้าว และเนื้อมะพร้าวได้ถูกต้อง มากที่สุด A. เป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่เป็นเอนโดสเปิร์ม (endosperm) เพื่อสะสมอาหารในรูปคาร์โบไฮเดรต B. เป็นโครงสร้างทำหน้าที่สะสมอาหารเอาไว้เลี้ยงเอนโดสเปิร์ม C. เป็นเอนโดสเปิร์มที่มีโครโมโซม 2 ชุด (diploid) เพื่อเลี้ยงเอ็มบริโอ (embryo) D. เป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่เป็นเอนโดสเปิร์มเพื่อเลี้ยงเอ็มบริโอ
D. เป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่เป็นเอนโดสเปิร์มเพื่อเลี้ยงเอ็มบริโอ ------------------------------------------- **อธิบาย** น้ำมะพร้าวและเนื้อมะพร้าวทั้งสองส่วนทำหน้าที่เป็นเอนโดสเปิร์ม (endosperm) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ให้อาหารแก่เอ็มบริโอ (embryo) ขณะที่ะพร้าวเจริญเติบโตและพัฒนา น้ำมะพร้าวเป็นเอนโดสเปิร์มที่เป็นของเหลว ในขณะที่เนื้อมะพร้าวเป็นเอนโดสเปิร์มที่เป็นของแข็ง ข้อ A ผิดเพราะน้ำมะพร้าวและเนื้อมะพร้าวเป็นเอนโดสเปิร์มที่มีหน้าที่ในการเลี้ยงเอ็มบริโอ แต่ไม่จำกัดเฉพาะที่สะสมอาหารในรูปคาร์โบไฮเดรตเท่านั้น มันยังมีไขมันและโปรตีนด้วย ดังนั้น การกล่าวว่ามันเป็นเอนโดสเปิร์มที่มีหน้าที่สะสมอาหารในรูปคาร์โบไฮเดรตอย่างเดียวเป็นการสรุปที่ไม่ถูกต้อง