SUM M.5 T.1 Flashcards

1
Q

อสังขตธรรม

A

สิ่งหรือปรากฏการณ์ทั้งหลายที่มีอยู่ในธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ สิ่งที่เหนือธรรมชาติ ปราศจากปัจจัยปรุงแต่ง (หมายถึงพระนิพพาน)

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
2
Q

สังขตธรรม

A

สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ เกิดขึ้นเป็นไปตามอำนาจเหตุปัจจัยปรุงแต่ง

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
3
Q

อาคาริยวินัย

A

ศีลสำหรับผู้ครองเรือนนั้นได้แก่ ศีล 5 ศีล 8 และหลักแห่งความประพฤติที่จำเป็นสำหรับผู้ครองเรือนบางหมวด

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
4
Q

อนาคาริยวินัย

A

ศีลสำหรับผู้ไม่ครองเรือน หมายถึง ภิกษุ และภิกษุณี แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

2.1 อาทิพรหมจริยกาศีล ศีลที่เป็นหลักใหญ่ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเป็นสิกขาบทหรือเป็นข้อ ๆ เรียกอีกอย่างว่าศีลที่มาในพระปาฏิโมกข์ สำหรับภิกษุมี 227 สิกขาบท สำหรับภิกษุณีมี 311 สิกขาบท

2.2 อภิสมาจาริกาศีล คือ ศีลหรือข้อบัญญัติเกี่ยวกับมารยาทที่ควรประพฤติและไม่ควรประพฤติ นอกจากที่มาในพระปาฏิโมกข์เพื่อให้เหมาะสมแก่ความเป็นสมณะที่แตกต่างจากผู้ครองเรือนทั่วไป

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
5
Q

อนุบัญญัติ และ มูลบัญญัต

A

บัญญัติเพิ่มเติมเรียกว่า อนุบัญญัติ ส่วนพระบัญญัติเก่าเรียกว่า มูลบัญญัติ

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
6
Q

อาทิกัมมิกะ

A

ผู้เป็นต้นบัญญัติ

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
7
Q

ทิฎฐธัมมิกัตถะ และ สัมปรายิกัตถะ และ ปรมัตถะ

A

ประโยชน์ขั้นต้น และ ประโยชน์ขั้นสูง และ ประโยชน์ขั้นสูงสุด (นิพพาน)

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
8
Q

ขันธ์ 5

A

หมายถึงองค์ประกอบของชีวิต 5 ประการ

  1. รูป คือส่วนที่เป็นร่างกายรวมถึงพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย (ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ขนาดกว้างศอก ยาววา หนาคืบ)
  2. วิญญาณ คือการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 และใจ
  3. เวทนา หมายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อสิ่งที่รับรู้
  4. สัญญา ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าคำมั่นสัญญาเหมือนในภาษาสามัญ แต่หมายถึงการกำหนดหมายรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง การแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร อันเป็นขั้นตอนถัดจากเวทนา
  5. สังขาร แปลว่าสิ่งที่ปรุงแต่งจิต หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ เช่น แรงจูงใจ หรือสิ่งกระตุ้นผลักดันให้มนุษย์กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผลรวมของการรับรู้ (วิญญาณ) ความรู้สึก (เวทนา) และความจำได้ (สัญญา) ที่ผ่านมา เช่น ตารับรู้วัตถุสิ่งหนึ่ง (วิญญาณ) รู้สึกว่าสวยดี (เวทนา) จำได้ว่ามันเป็นวัตถุกลม ๆ ใส ๆ (สัญญา) แล้วเกิดแรงจูงใจผลักดันให้เอื้อมมือไปหยิบมาเพราะความอยากได้ ขั้นตอนนี้แหละเรียกว่าสังขาร สังขารจึงเป็นขั้นตอนที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมซึ่งมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ฝ่ายดีเช่น ศรัทธา สติ เมตตา กรุณา ปัญญา เป็นต้น ฝ่ายชั่วเช่น โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ มิจฉริยะ เป็นต้น
How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
9
Q

จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนวิญญาณ

A
  • การรับรู้ทางตา หรือ “การเห็น” เรียกว่า จักขุวิญญาณ
    • การรับรู้ทางหู หรือ “การได้ยิน” เรียกว่า โสตวิญญาณ
    • การรับรู้ทางจมูก หรือ “การได้กลิ่น” เรียกว่า ฆานวิญญาณ
    • การรับรู้ทางลิ้น หรือ “การลิ้มรส” เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ
    • การรับรู้ทางกาย หรือ “การสัมผัสทางกาย” เรียกว่า กายวิญญาณ
    • การรับรู้ทางใจ หรือ “การคิด” เรียกว่า มโนวิญญาณ
How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
10
Q

คุณค่าทางจริยธรรมของขันธ์ 5

A

ขันธ์ 5 แสดงถึงความเป็นอนัตตา
การมองสิ่งทั้งหลายโดยวิธีการแยกส่วนประกอบตามขันธ์ 5

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
11
Q

โลกธรรมเป็นหลักคำสอนที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่เท่าไหร่?

A

หนังสือเล่มที่ 23 อังคุตรนิกายอัฎฐกนิบาต ข้อ 159

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
12
Q

โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์

A

ฝ่ายที่มนุษย์พอใจในสี่เรื่องคือ

ได้ลาภ หมายความว่า ได้ผลประโยชน์ ได้ทรัพย์สินเงินทอง ได้โชคลาภ ได้บ้านเรือนที่ดี ฯลฯ

ได้ยศ หมายความว่า ได้รับเติมเต็มใหม่ ฐานที่ดี รสนิยม ได้ตำแหน่ง ได้อานาจ ได้เป็นใหญ่

ได้รับสรรเสริญ คือได้ยินได้ฟังคำชมเชย คำยกย่อง คำสดุดีที่คนอื่นให้เรา

ได้สุข คือได้ความสบายกายสบายใจ ได้ความเบิกบานระเรื่อง ได้ความบันเทิงใจ

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
13
Q

โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์

A

ฝ่ายที่มนุษย์ไม่พอใจในสี่เรื่องคือ

เสียลาภ หมายความ คือสูญเสียลาภที่ได้มาแล้วเสียไป เช่น เสียเงิน เสียทอง ละเมิดกฎหมาย เมื่อระแวงตาย

เสียมยศ หมายถึง ถูกลดความเป็นใหญ่ ถูกถอดจากตำแหน่ง ถูกถอดอำนาจ

ถูกนราธา หมายถึง ถูกตำหนิหรือตีนอนวาไม่ดี หรือใครปฏิเสธถึงความไม่ดีของเราในทางบ่งชี้ เรียกว่าถูกนราธา

ตกทุกข์ คือได้รับความทรมานกายทรมานใจ

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
14
Q

ปาณาติบาต

A

การกระทำที่ปราศจากเจตนาไม่นับเป็นกรรม เช่น ถ้าไม่มีเจตนาเดินไปเหยียบมดตายก็ไม่เป็นกรรม

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
15
Q

คำว่า “กรรมนิยาย” ใช้แทนคำไทยที่หมายถึง “กรรม” ในทางพระพุทธศาสนาว่า “กรรมนิยาม” หมายถึงกระบวนการกระทำและผลของการกระทำของมนุษย์ซึ่งมีหลักการกฎกำหนดว่า

A

คนหว่านพืชเช่นใดย่อมได้ผลเช่นนั้น
ผู้ทำกรรมดีจะได้รับผลดี
ผู้ทำกรรมชั่วจะได้รับผลชั่ว

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
16
Q

การแบ่งกรรมตามคุณภาพหรือลักษณะเหตุการณ์ของการกระทำ

A

กรรมชั่ว (อกุศลกรรม)
การกระทำที่เกิดจากอกุศลมูล คือ ความโลภ , ความโกรธ (โกรธ), และความหลง (หลง)

กรรมดี (กุศลกรรม)
การกระทำที่เกิดจากกุศลมูล คือ ความโกรธ (อโลภะ), ความโทสะ (อโทสะ), และ (อโมหะ)

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
17
Q

กรรมแบ่งตามทางแสดงออก

A

การกระทำทางกาย (กายกรรม) สามารถแบ่งได้เป็น: กายสุจริต 3 กายทุจริต 3

การกระทำทางวาจา (วจีกรรม) สามารถแบ่งได้เป็น: วจีสุจริต 3 วจีทุจริต 3

การกระทำทางใจ (มโนกรรม) สามารถแบ่งได้เป็น: มโนสุจริต 3 มโนทุจริต 3

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
18
Q

กรรม 12 สามารถแบ่งเป็น 3 หมวดได้ดังนี้

A

กรรมแบ่งตามเวลาที่ให้ผล มี 4 ข้อ
กรรมแบ่งตามหน้าที่ที่ให้ผล มี 4 ข้อ
กรรมแบ่งตามหนักเบา มี 4 ข้อ

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
19
Q

กรรมแบ่งตามสภาพที่สัมพันธ์กับการให้ผลสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทได้ดังนี้:

A

อกุศลกรรม เช่น ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ผิดในกามมุสาวาทดื่มสุราเมรัย
กุศลกรรม เช่น การประพฤติตามกุศลกรรมบท 10
กรรมที่เป็นทั้งอกุศลกรรมและกุศลกรรม เช่น การกระทำของมนุษย์ทั่วไป
กรรมที่ไม่เป็นทั้งอกุศลกรรมและกุศลกรรม เช่น เจตนาเพื่อละกรรมสามอย่างข้างต้น หรือว่าโดยองค์ธรรม ได้แก่ โพชฒงค์ 7 หรือมรรค์มีองค์ 8

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
20
Q

กรรมแบ่งตามกาลเวลาที่ให้ ผล สามารถจําแนกกรรมประเภทนี้แบ่งย่อยเป็น 4 ประเภท คือ

A

1) กรรมใหผลทันตาเห็นหรือในชาตินี้ (ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม)
2) กรรมใหผลในกาลข้างหน้าหรือชาติหน้า (อุปัชชเวทนียกรรม)
3) กรรมใหผลในระยะเวลานานข้างหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป (อปราปรเวทนียกรรม)
4) กรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผลหรือกรรมที่ให้ผลสาเร็จแล้ว (อโหสิกรรม)

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
21
Q

กรรมแบ่งตามหน้าที่ที่ให้ผล จําแนกออกเป็น 4 ประเภท

A

1) กรรมนําไปเกิด (ชนกกรรม) กรรมชนิดนี้ทําหน้าที่พาไปเกิดอย่างเดียว เมื่อนําไปเกิดตามเงื่อนไขที่สัตว์กระทําไว้แล้วก็หมดหน้าที่
2) กรรมสนับสนุน (อุปัตถัมภกกรรม) กรรมชนิดนี้ทําหน้าที่สนับสนุนชนกกรรม ในขณะเดียวกันก็ซ้ําเติมด้วยถ้าเป็นกรรมชั่ว เช่น ชนกกรรมแต่งมาให้ถือกําเนิดในตระกูลดีก็สนับสนุนให้ดียิ่งขึ้น ถ้าแต่งมาให้กําเนิดในตระกูลต่ําก็คอยซ้ําเติมให้เลวลงไปอีก
3) กรรมบีบคั้นหรือหันเหทิศทาง(อุปปีฬกกรรม) กรรมชนิดนี้ทําหน้าที่บีบคั้นมิให้ดีเต็มที่หรือ มิให้เลวเต็มที่
4) กรรมตัดรอน (อุปฆาตกรรม) กรรมชนิดนี้ทําหน้าที่คล้ายกับอุปปีฬกกรรมแต่มีพลังแรงกว่า ขณะที่กรรมอื่นกําลังให้ผลอยู่กรรมชนิดนี้จะไปตัดรอนและให้ผลชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เช่น คนกําลังประสบความสําเร็จมีความสุขเต็มที่แต่ก็ต้องประสบหายนะลงโดยปัจจุบันทันด่วน หรือกําลังทุกข์หนัก แต่ก็เกิดเหตุการณ์ดีๆ ขึ้นช่วยให้พ้นทุกข์อย่างปาฏิหาริย์

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
22
Q

กรรมแบ่งตามหนักเบาแบ่งออกเป็น4ประเภทคือ

A

1) กรรมหนัก (ครุกรรม) หมายเอาอนันตริยกรรม 5 คือฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ทําพระโลหิตพระพุทธเจ้าให้ห้อ ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน (สังฆเภท)
2) กรรมเคยชิน (พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม) ได้แก่กรรมที่ทําซ้ําซาก เช่น คนที่ฆ่าสัตว์เป็นประจํากรรมนี้หนักรองจากครุกรรมถ้าไม่มีกรรมอื่นกรรมชนิดนี้จะให้ผลก่อน
3) กรรมใกล้ตาย (อาสันนกรรม) หมายถึงกรรมที่คนกระทําเมื่อจวนจะตายเช่นคนทํากรรมมามากทั้งชั่วทั้งดีเวลาจะตายนึกถึงกรรมดีที่ทําไว้ได้เป็นต้นเมื่อตายลงกรรมนี้จะทําหน้าที่นําไปเกิดในสุคติภพทันที
4) กรรมสักว่าทํา (กตัตตากรรม) หมายถึง กรรมที่ทําด้วยเจตนาอ่อนมากเป็นกรรมชนิดอ่อนต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นกรรมนี้จึงจะให้ผลเช่นให้ทานแก่ขอทานโดยไม่เต็มใจให้

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
23
Q

กรรมวิบาก

A

ผลแห่งกรรม

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
24
Q

การให้ผลของกรรมนั้นเราอาจพิจารณาได้ 3 ระดับคือ

A

1) ระดับภายในจิตใจหรือคุณภาพจิต กรรมทําให้เกิดผลในจิตใจ มีการสั่งสมคุณสมบัติคือคุณภาพทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วมีอิทธิพลปรุงแต่งความรู้สึกนึกคิดความโน้มเอียงต่าง ๆ ทุกครั้งที่บุคคลทําความชั่วเช่นด่าหรือนินทาคนอื่นหรือคิดพยาบาทคนอื่นนับว่าเขา“ได้รับผลชั่ว”เป็นการตอบแทนทันที

ระดับบุคลิกภาพและอุปนิสัย กรรมที่ทําลงไปทําให้เกิดผลในการสร้างเสริมลักษณะนิสัยปรุงแต่งลักษณะความประพฤติการแสดงออกท่าทีการวางตัวการปรับตัวบุคลิกลักษณะหรืออุปนิสัยที่ดีเช่น มีเมตตา อารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่อิจฉาริษยา ไม่อาฆาตพยาบาท ไม่วู่วาม พูดจาไพเราะ มีความมั่นคงทางอารมณ์เป็นต้น

ระดับภายนอกหรือผลทางสังคม ผลของกรรมระดับนี้คือสิ่งที่มองเห็นในชีวิตประจําวัน เช่นลาภยศสรรเสริญสุขทุกข์อันเป็นผลที่เขาได้รับในสังคมที่เขาอยู่ผลภายนอกนี้

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
25
Q

มิจฉาวณิชชา 5

A

การค้าขายที่ผิดหรือไม่ชอบธรรม

  1. สัตถวณิชชา ค้าขายอาวธุ คือ การขายอาวุธเครื่องประหัตประหารทําร้ายทําลายกัน
  2. สัตตวณิชชา ค้าขายมนุษย์คือการขายคนให้เป็นทาสของคนอื่นหรือการขายผู้หญิงไปเป็นโสเภณี
  3. มังสวณิชชา ค้าขายเนื้อสัตว์คือขายเนื้อหมูเนื้อวัวเนื้อควายเนื้อไก่ฯลฯ
  4. มัชชวณิชชา ค้าขายนาเมา ้ํ คือสุราเมรัยและเครื่องดื่มที่ทําให้มึนเมาขาดสติทุกชนิด
  5. วิสวณิชชา ค้าขายยาพิษ คือยาเสพติดเช่นยาบ้าเฮโรอีนฝิ่นกัญชารวมทั้งยาพิษที่ทําให้คนหรือสัตว์ตายหลังจากกินยานั้นเข้าไปแล้วเช่นยาที่ผสมในอาหารเคร่องด ื ื่มหรือน้ําดื่มเป็นต้น
How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
26
Q

วิมุตติ 5

A
  1. ตทังควิมุตติได้แก่การทําจิตของตนให้หลุดพ้นจากกิเลสได้ชั่วคราว เช่น มีเรื่องชวนให้โกรธก็พิจารณาให้เห็นโทษของความโกรธแล้วหักห้ามใจไว้ไม่โกรธตอบ
  2. วิกขัมภนวิมุตติได้แก่ความหลุดพ้นด้วยการกดหรือทับกิเลสไว้ด้วยอํานาจแห่งฌาน
  3. สมุจเฉทวิมุตติได้แก่ความหลุดพ้นด้วยการตัดกิเลสได้เด็ดขาดโดยไม่ให้กิเลสกําเริบเกิดขึ้นอีก
  4. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติได้แก่ความหลุดพ้นด้วยการทําให้กิเลสสงบระงับไปอย่างราบคาบ
  5. นิสสรณวิมุตติได้แก่ ความหลุดพ้นจากอํานาจกิเลสด้วยการหลีกออกไปตามอย่างของพระอริยบุคคลผู้บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว
How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
27
Q

ระดับโลกิยะ ระดับโลกุตตระ

A

(การหลุดพ้นจากกิเลสชั่วคราว ทําให้มีความสุขสงบชั่วคราว)
(การหลุดพ้นจากกิเลสอย่างเด็ดขาด ทําให้มีความสุขสงบอย่างถาวร)

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
28
Q

ปาปณิกธรรม 3

A

หลักพ่อค้า,องค์คุณของพ่อค้า

  1. จักขุมา ตาดีรู้จักสินค้า ดูของเป็น สามารถคํานวณราคา กะทุนเก็งกําไรแม่นยํา
  2. วิธูโร จัดเจนธุรกิจ รู้แหล่งซื้อแหล่งขาย รู้ความเคลื่อนไหว ความต้องการของตลาด สามารถจัดซื้อจัดจําหน่าย รู้ใจและรู้จักเอาใจลูกค้า
  3. นิสสยสัมปันโน พร้อมด้วยแหล่งทุนเป็นที่อาศัย เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจในหมู่แหล่งทุนใหญ่ ๆ หาเงินมาลงทุนหรือดําเนินกิจการโดยง่าย
How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
29
Q

โภคอาทิยะ5

A

ประโยชน์ที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย์หรือเหตุผลที่อริยสาวกควรยึดถือในการที่จะมีหรือครอบครองโภคทรัพย์

  1. เลี้ยงตัวมารดาบิดาบุตรภรรยาและคนในปกครองทั้งหลายให้เป็นสุข
  2. บํารุงมิตรสหายและผู้ร่วมกิจการงานให้เป็นสุข
  3. ใช้ป้องกันภยันตราย
  4. ทําพลี5อย่าง
    4.1 ญาติพลีสงเคราะห์ญาติ
    4.2 อติถิพลีต้อนรับแขก
    4.3 ปุพพเปตพลีทําบุญอุทิศใหผ้ลู้ ่วงลับ
    4.4 ราชพลีบํารุงราชการด้วยการเสียภาษีอากรเป็นต้น
    4.5 เทวตาพลีถวายเทวดาคือสักการะบํารุง หรือ ทําบุญอุทิศสิ่งที่เคารพบูชาตามความเชื่อถือ
  5. อุปถัมภ์บํารุงสมณพราหมณ์ผประพฤต ู้ ิดีปฏิบัติชอบ
How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
30
Q

ในจูฬนิทเทสท่านอธิบายความหมายของ “เทวดา”ไว้ว่าได้แก่สิ่งที่นับถือเป็นทักขิไณย์ของตน ๆ (เยเยสฺทิกฺขิเณยฺยา,เตเตลํเทวตา – พวกไหนนับถือสิ่งใดเป็นทุกขิไณย์สิ่งนั้นก็เป็นเทวดาของพวกนั้น) และแสดงตัวอย่างไว้ตามความเชื่อถือของคนสมัยพุทธกาลประมวลได้เป็น 5 ประเภท คือ

A
  1. นักบวชนักพรต (ascetics) เช่น อาชีวกเป็นเทวดาของสาวกอาชีวก นิครนถ์ชฎิลปริพาชกดาบสก็
    เป็นเทวดาของสาวกนิครนถ์เป็นต้นเหล่านั้นตามลําดับ
  2. สัตว์เลี้ยง (domesticanimals) เช่น ช้างเป็นเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาช้าง ม้าโคไก่กาเป็นต้นก็เป็นเทวดาของพวกถือพรตบูชาสัตว์นั้น ๆตามลําดับ
  3. ธรรมชาติ (physical forces and elements) เช่น ไฟเป็นเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาไฟแก้วมณีทิศพระจันทร์พระอาทิตย์เป็นเทวดาของผู้ถือพรตบูชาสิ่งนั้น ๆตามลําดับ
  4. เทพขั้นต่ํา (flowergods) เช่น นาคเป็นเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชานาค ครุฑยักษ์คนธรรพ์
    เป็นเทวดาของผู้ถือพรตบูชานาคเป็นต้นเหล่านั้นตามลําดับ(พระภูมิจัดเข้าในข้อนี้)
  5. เทพชั้นสูง (highergod) เช่น พระพรหมเป็นเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาพระพรหม พระอินทร์เป็นเทวดาของผู้ถือพรตบูชาพระอินทร์เป็นต้น
31
Q

ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4

A

ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน,หลักธรรมอันอํานวยประโยชน์สุขขั้นต้น

1) อุฎฐานสัมปทา คือ มีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าที่การงานประกอบอาชีพสุจริต มีความชํานาญรู้จักใช้ปัญญาสอดส่องตรวจตราหาอุบายวิธีสามารถจัดดําเนินการให้ได้ผลดี
2) อารักขสัมปทาน คือรู้จักเก็บรักษาคุ้มครองป้องกันโภคทรัพย์และผลงานอันตนได้ทําไว้ด้วยความขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรมไม่ให้เป็นอันตรายหรือเสื่อมหาย
3) กัลยาณมิตตตา คือรู้จักคบคนดีเป็นมิตรเลือกเสวนาสําเหนียกศึกษาเยี่ยงอย่างท่านผู้ทรงคุณธรรม มีความสามารถและมีคุณสมบัติเกื้อกูลแก่อาชีพการงาน
4) สมชีวิตา คือรู้จักกําหนดรายได้รายจ่ายเลี้ยงชีวิตแต่พอดีมิให้ฝืดเคืองหรือฟุ่มเฟือย ให้รายได้เหนือรายจ่ายรู้จักประหยัดอดออม

32
Q

อุ อา กะ สะ

A

ซึ่งเป็นคําขึ้นต้นของหลักธรรมแต่ละข้อใน ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 จึงถูกเรียกว่า “หัวใจเศรษฐี”

33
Q

อริยวัฑฒิ 5

A

ธรรมอันเป็นความเจริญของอารยชน (noble growth; development of a
civilized or a righteous man) อารยชน หรือ อริยชน ทางพระพุทธศาสนา หมายถึง คนประเสริฐหรือคนดีในอุดมคติบุคคลเช่นนี้มีคุณสมบัติที่สําคัญ5ประการ

ศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
ศีล ความประพฤติดีมีวินัยเลี้ยงชีพสุจริต
สุตะ การสดับรับฟังหรือเล่าเรียนศึกษา
จาคะ การเผื่อแผ่เสียสละ
ปัญญา ความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้รู้พิจารณาฉลาดในความเจริญความเสื่อมและวิธีการ

คุณสมบัติทั้ง 5 ประการนี้ใช้เป็นเครื่องวัดบุคคลได้ว่าเป็นผู้มีความเจริญงอกงามบรรลุความเป็นอารยชนได้สมบูรณ์มากน้อยเพียงไร

34
Q

สิ่งที่พทธศาสน ุ ิกควรเชื่อ 4 ประการมีดังตอไปน

A
  1. กมฺมสทฺธา คือเชื่อว่าสิ่งดีสิ่งชั่วมีจริงบุญบาปมีจริงเพราะสามารถเห็นได้แม้ในปัจจุบันนี้เช่นการทําดีได้ผลด
  2. วิปากฺสทฺธา คือเชื่อในผลของกรรมเชื่อว่ากรรมที่บุคคลทําไว้ย่อมให้ผลแน่ผู้ทํากรรมดีย่อมได้รับผลดีผู้ทํากรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
  3. กมฺมสฺสกตาสทฺธา คือ เชื่อว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน ความดีความชั่ว ความบริสุทธิ์ความเศร้าหมองไม่อาจทําแทนกันได้
  4. ตถาคตโพธิสทฺธา คือเชื่อมั่นในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า การเชื่อเช่นนี้หมายถึงการเชื่อในพระรัตนตรัย คือเมื่อเชื่อการตรัสรู้ก็หมายถึงเชื่อในพระธรรมคําสอนทั้งหมดเชื่อ กมฺมสทฺธา วิปากฺสทฺธา และ กมฺมสฺสกตาสทฺธา
35
Q

สําหรับพระภิกษุศีลทั้งหมดนี้มีลักษณะที่สําคัญตรงกันคือ

A
  1. ทําให้เกิดสภาพความเป็นอยู่ผาสุก ไม่สร้างความเดือดร้อนหรือสิ่งร้ายให้แก่ตนและผู้อื่นช่วยให้ตนและผู้อื่นปฏิบัติกิจการต่าง ๆได้สะดวกและมีผลดียิ่งขึ้น
  2. ทําให้สมาชิกของชุมชนอยู่รวมกันด้วยดีมีสุขสังคมมีระเบียบเรียบร้อยสมาชิกของชุมชนแต่ละคนสามารถปฏิบัติกิจการของตนและดํารงชีวิตได้อย่างผาสุก
  3. ช่วยฝึกหัดขัดเกลาจิตใจให้รู้จักควบคุมยับยั้งชั่งใจในการกระทําและการพูดปรับกายและวาจาให้เรียบร้อยเหมาะสมที่จะอยู่ร่วมกันนอกจากนี้ยังเป็นพื้นฐานของสมาธิหรือคุณธรรมทางจิตใจ ขั้นสูงอีกด้วย
36
Q

ศีล 5 อาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า

A

มนุษยธรรมเพราะเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย

37
Q

สุตะ

A

หมายถึง ความรู้ที่ได้ยินได้ฟังความรู้ที่ได้จากการศึกษาวิชาต่าง ๆเกี่ยวกับการทํามาหาเลี้ยงชีพและการประกอบกิจการต่าง ๆ ในทางโลก

38
Q

จาคะ

A

แปลว่าการสละ การสละให้หมายถึงการให้ที่แท้จริงเป็นการเผื่อแผ่หรือการเสียสละทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกสละวัตถุ ภายในสละกิเลสคือความโลภไม่มีความรู้สึกตระหนี่หวงแหนไม่ปรารถนาผลตอบแทน

39
Q

ปัญญา

A

แปลว่าความรู้ทั่วไปหรือรู้ชัดหมายถึงความรู้3ประการ คือ

  1. รอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้
  2. รู้คิดรู้พิจารณา
  3. ฉลาดในความเจริญความเสื่อมและวิธีการ
40
Q

ความฉลาดมีอยู่ 3 ประการคือ

A

1) ความฉลาดในความเจริญ ในภาษาศาสนาเรียกว่าอายโกศล ได้แก่ รอบรู้ในเรื่องความเจริญว่าเป็นอย่างไรและรอบรู้สาเหตุที่จะทําให้เกิดความเจริญนั้นด้วย เช่น รู้ว่าการศึกษาจะทําให้ชีวิตมีความก้าวหน้าสามารถนํามาหาเลี้ยงชีพได้และรู้สาเหตุที่จะทําให้เจริญได้แก่อิทธิบาท 4 เป็นต้น
2) ความฉลาดในความเสื่อม ในภาษาศาสนาเรียกว่าอปายโกศล ได้แก่รอบรู้ในเรื่องความเสื่อมพร้อมทั้งสาเหตุของความเสื่อมนั้นด้วยเช่นรู้ว่าทางแห่งความเสื่อมของชีวิตคือการไม่ศึกษาหรือไม่ตั้งใจศึกษาและสาเหตุของความเสื่อมนั้นได้แก่ความเบื่อหน่ายความเกียจคร้านการไม่สนใจ หรือใฝ่ใจและขาดการแสวงหา
ความรู้ในวิชาต่าง ๆที่เรียนเป็นต้น
3) ความฉลาดในวิธีการ ในภาษาศาสนาเรียกว่าอุปายโกศลได้แก่การรอบรู้วิธีการแก้ไขเหตุการณ์หรือวิธีที่จะทําให้สําเร็จเช่นรู้ว่าเมื่อมีความเกียจคร้านเกิดขึ้นก็รู้ว่าต้องสร้างฉันทะหรือความชอบให้เกิดขึ้นวิชาใดที่ไม่ชอบมาตั้งแต่ต้นก็พยายามศึกษาให้เข้าใจ พิจารณาผลได้ผลเสียของวิชานั้น ฉันทะก็จะเกิดขึ้นถ้าเป็นกิจขนาดใหญ่ก็ยิ่งจะต้องสร้างฉันทะให้เกิดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเป็นต้น

41
Q

อปริหานิยธรรม 7

A

ธรรมที่ทําให้ไม่เสื่อม ทําให้เจริญอย่างเดียว สําหรับหมู่ชนหรือผู้บริหารบ้านเมือง

  1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
  2. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทํากิจที่พึงทํา
  3. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม รวมทั้งไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว)
  4. ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ควรเคารพนับถือท่านเหล่านั้น
  5. บรรดากุลสตรีกุลกุมารีทั้งหลาย มิให้อยู่อย่างถูกข่มเหงรังแกหรือฉุดคร่า ขืนใจ
  6. คารพ สักการะ บูชาเจดีย์หรืออนุสาวรีย์ประจําชาติ
  7. จัดการอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน โดยชอบธรรมแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย รวมถึงพระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วย
42
Q

มงคลชีวิต 34-38 (highest blessings) (เน้นประการที่ 38)

A

มงคลที่ 34 การทําพระนิพพานให้แจ้ง/บรรลุนิพพาน
1. สอุปาทิเสสนิพพาน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กิเลสนิพพาน คือ การดับกิเลสแต่ไม่ได้ดับขันธ์แบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ นิพพานถาวร หมายถึง การดับกิเลสได้เด็ดขาด กับ นิพพานชั่วคราวหมายถึง การดับกิเลสได้ชั่วคราว
2. อนุปาทิเสสนิพพาน การดับทั้งกิเลสและขันธ์ 5 หรือที่เรียกว่า ขันธนิพพาน

มงคลที่ 35 จิตไม่หวั่นไหวเพราะโลกธรรม/ถูกโลกธรรมจิตไม่หวั่นไหว - โลกธรรม 8

โลกธรรม 8 คือสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นในโลกได้แก่ลาภเสื่อมลาภ ยศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทา สุขทุกข์ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทําให้คนเรารวนเรได

มงคลที่ 36 จิตไม่เศร้าโศก - อโสก
มงคลที่ 37 จิตไม่มีธุลี/จิตไม่มัวหมอง - วิรช - กุศลมูล 3

มงคลที่ 38 จิตเกษม

จิตเกษม คือจิตที่สงบปลอดภัยพ้นภัยคําว่าพ้นภัยในที่นี้หมายความว่าพ้นภัยทั้งทางโลกและทางธรรมพ้นภัยทางโลกก็เช่นพ้นจากความเจ็บป่วยพ้นจากความหนาวเย็น พ้นจากการนินทา เป็นต้น พ้นภัยทางธรรมก็เช่นพ้นจากความโลภ พ้นจากความโกรธพยาบาท พูดง่าย ๆก็คือพ้นจากกิเลสนั่นเอง ผู้ที่มีปัจจัย4เลี้ยงชีวิต
เรียกได้ว่าพ้นภัยทางโลกในระดับหนึ่ง แต่ผู้ที่พ้นภัยทางโลกนั้นจําเป็นต้องพ้นภัยทางธรรมการพ้นภัยทางธรรมเป็นการพ้นภัยทางด้านจิตใจซึ่งสําคัญกว่าการพ้นภัยทางโลกผู้ที่พ้นภัยทางธรรมได้หมดสิ้นคือหมดสิ้นซึ่งกิเลสนั้นก็คือผู้ที่ได้บรรลุปรมัตถธรรมของพระศาสนาแต่ณที่นี้เราจะยังไม่ต้องหวังสูงขนาดนั้นเราจะพูดถึงหลักธรรมที่จะช่วยให้จิตของเราสงบและพ้นภัยระดับกลาง ๆ คือ สัปปุริสธรรม 7

43
Q

สัปปุริสธรรม 7 เน้น

A

คือธรรมที่จะช่วยทําให้เราเป็นสัปปบุรุษหรือคนดีมีความสงบสุขทั้งทางกายและใจ
1. รู้จักเหตุคือรู้จักหาสาเหตุของสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
2. รู้จักผล คือรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายต้องมีสาเหตุไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอย ๆ
3. รู้จักตน คือรู้สถานภาพของตน รู้ว่าคนมีสติปัญญาความสามารถความอดทนเพียงใด
4. รู้จักประมาณ คือรู้จักทําสิ่งต่าง ๆ หรือดําเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับสภาพของตน
5. รู้จักกาล คือรู้ว่าควรทําอะไรเวลาใดไม่ควรทําอะไรเวลาใดเ
6. รู้จักชุมชน คือรู้ว่าอยู่ในชุมชนอย่างใดควรทําตัวอย่างไร
7. รู้จักบุคคล คือรู้จักอุปนิสัยของบุคคล รู้ว่าบัณฑิตเป็นอย่างไร คนพาลเป็นอย่าไร
ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักธรรมข้อนี้ได้จะพ้นภัยทางโลกอย่างแน่นอนและจะมีความสงบทางใจ

44
Q

จงอธิบายมโหสถชาดก

A

ตามหนังสือ

45
Q

พระไตรปิฎกในแง่เทศนา3

A

1) พระวินัยปิฏก เรียกว่า “อาณาเทศนา” (แสดงด้วยคําสั่ง) หมายถึงทรงวางระเบียบข้อบังคับสั่งห้ามมิให้ทําสิ่งที่ไม่เหมาะสมแก่สมณสารูป เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและน่าเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนและคนต่างศาสนา

2) พระสุตตันตปิฎก เรียกว่า “โวหารเทศนา” (แสดงด้วยโวหาร) หมายถึง เนื้อหาในพระสุตตันตปิฎกนั้นเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงใช้โวหารแสดงเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจเพราะผู้ฟังมีทั้งผู้มีการศึกษาดีและไร้การศึกษาจึงต้องเลือกวิธีการอธิบายที่เหมาะสมแก่พื้นฐานและภูมิหลังของผู้ฟัง

3) พระอภิธรรมปิฎก เรียกว่า “ปรมัตถเทศนา” (แสดงปรมัตถะหรือแสดงเนื้อหาอันลึกซึ้ง) หมายถึงแสดงถึงแก่นแท้ของสภาวธรรมหรือความจริงแท้เช่น พูดถึงขันธ์ธาตุอายตนะ เป็นต้นว่าที่เราสมมุติเรียกกันว่าสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขานั้นโดยแก่นแท้แล้วเป็นเพียงธาตุ4 (ดินน้ําลมไฟ) ขันธ์5 (รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ) ประชุมกันเข้าเท่านั้นเองโดยปรมัตถ์คือโดยแก่นแท้ของความจริงแล้วไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาดังนี้เป็นต้น

46
Q

พระไตรปิฎกในแง่สิกขา3

A

สิกขาคือการฝึกฝนอบรมแบ่งเป็น 3 ประการคืออธิศีลสิกขา หมายถึง อบรมกายและวาจาให้เรียบร้อยให้อยู่ในระเบียบวินัยเพื่อเป็นรากฐานของการฝึกฝนทางจิต อธิจิตตสิกขา หมายถึงการฝึกจิตให้มีคุณภาพมีสมรรถภาพและสุขภาพเพื่อเป็นรากฐานแห่งการอบรมปัญญาและ อธิปัญญาสิกขา ฝึกฝนอบรมปัญญาเพื่อให้
เกิดความรู้เท่าและรู้ทันสภาวธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง

2.1 พระวินัยปิฎก เรียกว่า “อธิศีลสิกขา” (การฝึกฝนอบรมด้านศีลอย่างยิ่ง)หมายความว่าเนื้อหาของพระวินัยปิฎกนั้นมุ่งเน้นไปที่รายละเอียดของศีลหรือสิกขาบทของภิกษุและภิกษุณีทั้งที่มาในพระปาติโมกข์และนอกพระปาติโมกข์โดยให้สํารวมระมัดระวังรักษาศีลเพื่อมิให้ขาดหรือด่างพร้อยการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ทํา
ให้สามารถละกิเลสอย่างหยาบได้และเป็นฐานให้จิตแน่วแน่เป็นสมาธิเร็วยิ่งขึ้น

2.2 พระสุตตันตปิฎก เรียกว่า “อธิจิตตสิกขา” (การฝึกฝนอบรมด้านจิตอย่างยิ่ง)หมายความว่าหลักธรรมที่ทรงแสดงไว้ในพระสุตตันตปิฎกมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนอบรมจิตให้มีลักษณะ 3 ประการคือ แน่วแน่มั่นคงเข้มแข็ง (สมรรถภาพจิต) มีความอ่อนโยนนุ่มนวล (คุณภาพจิต) และปลอดโปร่งโล่งเบาสบาย(สุขภาพจิต) พูดอีกนัยหนึ่งเนื้อหาในพระสูตรเน้นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดสมาธิจิตเพื่อเป็นฐานแห่งวิปัสสนานั่นเอง

2.3 พระอภิธรรมปิฎก เรียกว่า “อธิปัญญาสิกขา” (การฝึกฝนอบรมด้านปัญญาอย่างยิ่ง) หมายความว่าในอภิธรรมปิฎกนี้เนื้อหาสาระมุ่งเน้นไปที่วิเคราะห์แยกแยะสภาวธรรมโดยละเอียดเพื่อให้บรรลุถึงปรมัตถ์(ความจริงแท้ของสรรพสิ่ง)เช่นพิจารณาขันธ์ 5 (รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ)

47
Q

พระวินัยปิฎก ประกอบด้วย

A

มหาวิภังค: ์ ข้อห้ามหรือวินัยที่เป็นหลักใหญ่ๆของภิกษุ
ภิกขุณีภังค: ์ ขอห้ ้ามหรือวินัยของภิกษุณี
มหาวัคค: ์ พุทธประวัติตอนแรกและพิธีกรรมทางพระวินัย
จุลลวคคั : ์ พิธีกรรมทางพระวินัย ความเป็นมาของภิกษุณีประวัติการทําสังคายนา
บริวาร: ข้อเบ็ดเตล็ดทางพระวินัย

48
Q

พระสุตตันตปฎกิ ประกอบด้วย

A

ทีฆนิกาย: พระธรรมเทศนาขนาดยาว
มัชฌิมนิกาย: พระธรรมเทศนาขนาดกลาง
สังยุตตนิกาย: พระธรรมเทศนาที่ประมวลธรรมะหรือเรื่องราวไว้เป็นพวกๆ
อังคุตรนิกาย: พระธรรมเทศนาจัดเป็นข้อๆตามลําดับจํานวน
ขุททกนิกาย: พระธรรมเทศนาเบ็ดเตล็ด ภาษิต ชาดก

49
Q

พระอภิธรรมปิฎก ประกอบด้วย

A

ธัมมสังคณ: ีธรรมที่รวมเป็นหมวดเป็นกลุ่ม
วิภังค์: ธรรมทแยกเป ี่ ็นข้อๆ
ธาตุกถา: ธรรมที่จัดระเบียบความสัมพันธ์โดยถือธาตุเป็นหลักการตัดสินพระธรรม
ปุคคลบญญั ัต: ิบัญญัต 6 ิ ชนิดรายละเอียดเฉพาะ บัญญัติเกี่ยวกับบุคคล
กถาวัตถุ: คําถามคําตอบในหลักธรรมเพื่อถือเป็นหลักในตัดสินพระธรรม
ยมก: ธรรมทรวมก ี่ ันเป็นคู่ๆ
ปัฏฐาน: ปัจจัยหรือเงื่อนไขทางธรรม 24 อย่าง

50
Q

การสังคายนาพระไตรปิฎก ความหมาย

A

“สังคายนา”ซึ่งหมายถึงการประชุมสงฆ์ร่วมกันเพื่อร้อยกรองพระธรรมวินัย และ จัดระเบียบหมวดหมู่พระพุทธวจนะให้เป็นระบบขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การศึกษาค้นคว้าอ้างอิงและการปฏิบัติอันยิ่งมีผลให้พระพุทธศาสนาดํารงอยู่เป็นปึกแผ่นมั่นคงสืบไป

51
Q

อธิบายสังคายนานาครั้งที่ 1

A

การทําสังคายนาครั้งแรกเกิดขึ้นภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 3 เดือน ที่ถ้ําสัตตบรรณคูหา ข้างเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์ประเทศอินเดีย ในพระราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอชาตศัตรูโดยมีพระมหากัสสปเถระทําหน้าที่เป็นประธาน และเป็นผู้คอยซักถาม มีพระอุบาลีเป็นผู้นําในการวิสัชนาข้อ
วินัย และมีพระอานนท์เป็นผู้นําในการวิสัชนาข้อธรรม การทําสังคายนาครั้งนี้มีพระอรหันต์มาประชุมร่วมกันทั้งหมด 500 รูป ดําเนินอยู่เป็นเวลา 7 เดือน จึงเสร็จสิ้น ไม่ปรากฏการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในการสังคายนาครั้งนี้
มูลเหตุการสังคายนา
1. มูลเหตุในการทําสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นมีภิกษุอยู่รูปหนึ่งชื่อสุภัททะ กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะร้องไห้กันไปทําไม เมื่อสมัยที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ พระองค์ทรงเข้มงวดกวดขัน คอยชี้ว่านี่ถูก นี่ผิด นี่ควร นี่ไม่ควร ทําให้พวกเราลําบาก บัดนี้พระองค์ปรินิพพานไปแล้ว พวกเราจะได้ทําอะไรตามใจชอบเสียทีเมื่อพระมหากัสสปะเถระได้ฟังดังนี้ก็รู้สึกสลดใจ ดําริว่าแม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปใหม่ๆ ยังปรากฏผู้มีใจวิปริตจากธรรมวินัยถึงเพียงนี้ถ้าปล่อยไว้นานเข้า คําสอนทางพระพุทธศาสนาอาจถูกบิดเบือนไปได้
2. เพื่อความยั่งยืนของพระธรรมวินัย และความถูกต้อง
3. เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า

52
Q

อธิบายสังคายนานาครั้งที่ 3

A

การสังคายนาครั้งที่ 3
การทําสังคายนาครั้งที่สามเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 235 ที่อโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย โดยมีพระโมคคลีบุตร ติสสเถระ เป็นประธาน การทําสังคายนาครั้งนี้มีพระสงฆ์มาประชุมร่วมกัน 1,000 รูปดําเนินการอยู่เป็นเวลา 9 เดือน จึงเสร็จสิ้น ไม่ปรากฏการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในการสังคายนาครั้งนี้
มูลเหตุสังคายนา
ข้อปรารภในการทําสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ มีพวกเดียรถีย์หรือนักบวชศาสนาอื่นมาปลอมบวชด้วยเห็นแก่ลาภสักการะ และเพื่อบ่อนทําลายพระพุทธศาสนา ได้แสดงลัทธิและความเห็นของตนว่า “เป็นพระพุทธศาสนา เป็นคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้า” พระโมคคลีบุตร ติสสเถระ จึงได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชสังคายนาพระธรรมวินัยเพื่อกําจัดความเห็นของพวกเดียรถีย์ออกไป
การสังคายนาในการทําสังคายนาครั้งนี้คงมีการซักถามพระธรรมวินัยและตอบข้อซักถามเช่นเดียวกับการสังคายนาครั้งก่อน แต่ไม่ปรากฏรายละเอียดว่า พระเถระรูปใดทําหน้าที่ซักถาม รูปใดทําหน้าที่ตอบข้อซักถาม พระโมคคลีบุตร ติสสเถระ ได้แต่งคัมภีร์กถาวัตถุซึ่งเป็นคัมภีร์หนึ่งในพระอภิธรรมไว้ด้วย และเมื่อทําสังคายนาเสร็จแล้ว ก็มีการส่งคณะทูตไปประกาศพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ ในที่นี้มีพระมหินทเถระ ผู้เป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่นําพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในลังกา รวมทั้งพระโสณะเถระและพระอุตตระเถระที่นําพระพุทธศาสนามาเผยแผ่ยังดินแดนสุวรรณภูมิด้วยพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชให้มีการสอบสวน สะสางกําจัดพวกเดียรถีย์ปลอมบวชประมาณ 60,000 รูป แล้วให้สละสมณเพศออกจากพระพุทธศาสนาได้สําเร็จ

53
Q

อธิบายสังคายนานาครั้งที่ 5

A

การสังคายนาครั้งที่ 5
การทําสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 433 ที่อาโลกเลนสถาน ณ มตเลชนบท ในประเทศศรีลังกาโดยมีพระรักขิตมหาเถระเป็นประธาน องค์อุปถัมภ์คือพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย การทําสังคายนาครั้งนี้เพื่อต้องการจารึกพระพุทธวัจนะเป็นลายลักษณ์อักษรลงในใบลาน ใช้เวลา 1 ปีจึงสําเร็จ
มูลเหตุในการทําสังคายนา
ทางการคณะสงฆ์ชาวลังกาและทางราชการบ้านเมืองเห็นว่า พระธรรมวินัยหรือพระพุทธวจนะที่ได้สังคายนาไว้นั้น มีความสําคัญมาก นับเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา หากจะพิทักษ์รักษาธรรมวินัยให้ดํารงอยู่สืบไปด้วยวิธีการท่องจําดังที่เคยถือปฏิบัติกันมา ก็อาจมีข้อวิปริตผิดพลาดได้ง่าย เพราะความจําของผู้บวช
เรียนเสื่อมถอยลงการสังคายนาในการสังคายนาครั้งนี้ได้จารึกพระธรรมวินัยหรือพระพุทธวจนะ เป็นภาษามคธอักษรบาลีลงในใบลานพร้อมทั้งคําอธิบายพระไตรปิฎกที่เรียกว่า อรรถกถา ซึ่งเดิมเป็นภาษามคธอักษรบาลีนับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจารึกพระธรรมวินัยเป็นภาษามคธอักษรบาลีเป็นหลักฐาน ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร พระไตรปิฎกลายลักษณ์อักษร จึงมีขึ้นเป็นฉบับแรกในพระพุทธศาสนา

54
Q

อธิบายสังคายนานาครั้งที่ 8

A

การสังคายนาครั้งที่ 8
ในพ.ศ.2020 ได้มีการทําสังคายนาขึ้นที่วัดโพธาราม ณ เมืองนพิสิกร คือ เมืองเชียงใหม่ ประเทศไทยองค์อุปถัมภ์คือ พระเจ้าติโลกราช หรือพระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิดิลกราช โดยมีประธานฝ่ายสงฆ์คือพระธรรมทินมหาเถระพร้อมด้วยการกสงฆ์ใช้เวลา 1 ปีจึงสําเร็จ
มูลเหตุการสังคายนาและการสังคายนา
พระธรรมทินมหาเถระผู้เปรื่องปราดแตกฉานในพระไตรปิฎก ได้พิจารณาเห็นว่าคัมภีร์พระไตรปิฎกอรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา ซึ่งมีอยู่ในเวลานั้นคลาดเคลื่อนอยู่มาก ด้วยการคัดลอกกันต่อๆมาเป็นเวลาช้านานจึงเข้าเฝ้าถวายขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าติโลกราช เมื่อได้รับการอุปถัมภ์แล้ว พระธรรมทินมหาเถระและ
พระสงฆ์ผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกประชุมกันทําสังคายนา โดยการตรวจชําระพระไตรปิฎก พร้อมทั้งอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา จารึกไว้ในใบลาน ด้วยอักษรธรรมของล้านนา นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 1 ในอาณาจักรล้านนาหรือประเทศไทยในปัจจุบัน ข้อที่น่าสังเกตก็คือ ตัวอักษรที่ใช้ใน การจารึกพระไตรปิฎกในครั้งนั้นคงเป็นอักษรแบบไทยลานนาคล้ายอักษรพม่า

55
Q

อธิบายสังคายนานาครั้งที่ 9

A

การสังคายนาครั้งที่ 9
ในปีพ.ศ.2331 ได้มีการทําสังคายนาขึ้นที่ วัดพระศรีสรรเพชญ์ซึ่งปัจจุบันคือวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย องค์อุปถัมภกคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโดยมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน มีพระสงฆ์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์จํานวน 218 รูป และมีราชบัณฑิตเป็นผู้ช่วยเหลือจํานวน 32 คน ใช้เวลา 5 เดือน จึงแล้วเสร็จ
มูลเหตุการสังคายนาและการสังคายนา
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พร้อมด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ทรงมีพระราชศรัทธาปรารถนาจะทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงสืบไป ได้ทรงทราบจากพระสงฆ์อันมีสมเด็จพระสังฆราชฯเป็นประธานว่า เวลานั้นพระไตรปิฎกมีข้อวิปลาสคลาดเคลื่อนมาก
แม้พระสงฆ์จะมีความประสงค์จะทํานุบํารุงให้สมบูรณ์ก็ไม่มีกําลังพอจะทําได้พระองค์จึงได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระสังฆราชพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งปวงให้รับภาระในเรื่องนี้ดังนั้น พระสงฆ์อันมีสมเด็จพระสังฆราชฯเป็นประธาน จึงได้เริ่มทําการสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชําระพระไตรปิฎกพร้อมทั้งคัมภีร์ลัททาวิเสส
(คัมภีร์ไวยากรณ์บาลี) และได้จารึกไว้ในใบลานด้วยอักษรขอม ปิดทองทึบทั้งปกหน้า หกหลังและกรอบ เรียกพระไตรปิฎกฉบับนี้ว่าพระไตรปิฎกฉบับทอง และได้จัดพิมพ์ด้วยอักษษไทยเป็นเล้ม ซึ่งนับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 2 ในประเทศไทย

56
Q

อธิบายสังคายนานาครั้งที่ 10

A

การสังคายนาครั้งที่ 10
ในปีพ.ศ.2431 ได้มีการสังคายนาขึ้น ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานครประเทศไทย องค์อุปถัมภกคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ครั้งดํารงพระยศเป็นกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสกเถระ) ครั้งยังเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นประธาน มีพระสงฆ์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์จํานวน 110 รูปใช้เวลา 6 ปีจึงสําเร็จ
มูลเหตุของการสังคายนา
ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ได้ 25 ปีทรงปรารภจะบําเพ็ญพระมหากุศล ทรงเห็นว่าพระไตรปิฎกที่เขียนไว้ในใบลานไม่มั่นคง ทั้งจํานวนก็มากยากที่จะรักษา และเป็นตัวขอมผู้ไม่รู้อ่านไม่เข้าใจ จึงมีพระราชศรัทธาให้พิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มแบบฝรั่งขึ้นใหม่ โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และพระเถรานุเถระทั้งหลายช่วยกันชําระ โดยคัดลอกตัวขอมในคัมภีร์ใบลาน เป็นตัวอักษรไทย แล้วชําระแก้ไขและพิมพ์เป็นเล่มหนังสือ รวม 39 เล่ม เริ่มชําระและพิมพ์ตั้งแต่พ.ศ.2431 สําเร็จเมื่อพ.ศ.2436 จํานวน 1,000 ชุด นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มด้วยอักษรไทยนับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 3 ที่ทําในประเทศไทย

57
Q

ในปัจจุบันมีพระไตรปิฎกที่ใช้อ้างอิงกันอย่างแพร่หลายในโลก 4 ฉบับ ได้แก

A

ฉบับโรมันของสมาคมบาลปกรณ ี ์
ฉบับสิงหลของประเทศศรลีงกา ั
ฉบับพม่าของประเทศเมียนมาร์
ฉบับสยามรัฐของประเทศไทย

58
Q

ประโยชน์ของการศึกษาพระไตรปิฎก

A
  1. เป็นที่รวมไว้ซึ่งพุทธพจน์
  2. เป็นที่สถิตของพระศาสดาของพุทธศาสนิกชน
  3. เป็นแหล่งต้นเดิมของคําสอนในพระพุทธศาสนา
  4. เป็นหลักฐานอ้างอิงการแสดง หรือยืนยันหลกการท ั ี่กล่าวว่าเป็นพระพุทธศาสนา
  5. เป็นมาตรฐานการตรวจสอบคําสอนในพระพุทธศาสนา
  6. เป็นมาตรฐานตรวจสอบความเชื่อถือ และข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
59
Q

บทที่ 1 ปฏิรูปการีธุรวา อุฏฐาตา วินฺทเต ธน

A

: ํ คนขยนเอาการเอางานกระท ั ําเหมาะสมย่อมหาทรพยั ์ได้

60
Q

บทที่ 2 วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นปิฺปทา

A

: เกิดเป็นคนควรจะพยายามจนกว่าจะประสบความสําเร็จ

61
Q

บทที่ 3 สนฺตุฎฺฐีปรมํธน

A

ํ ความสันโดษเปนทร ็ ัพย์อย่างยิ่ง

62
Q

บทที่ 4 อิณาทานํทุกฺขํโลเก

A

: การเป็นหนี้เปนท็ ุกขในโลก

63
Q
  1. การแสดงความเคารพพระพุทธ
A

1.1 เมื่อเดินผ่านหรือขึ้นรถผ่านพระพุทธรูปพระสถูปเจดีย์ควรทําความเคารพด้วยการไหว้คือประนมมือทั้งสองยกขึ้นน้อมศีรษะลงให้ปลายหัวแม่มือทั้ง 2 จรดระหว่างคิ้วทั้ง 2 ข้างถ้าสวมหมวกอยู่ก็ควรถอดหมวกแล้วไหว้
1.2 เมื่อเข้าไปในสถานที่ที่เป็นปูชนียสถาน เช่นภายในพระอุโบสถควรกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์แล้วนั่งสํารวมกิริยาวาจาเป็นการแสดงความเคารพต่อสถานที่ไม่พูดหรือคุยหรือแสดงกิริยาอาการไม่เรียบร้อย
1.3 ประดิษฐานพระพุทธรูป หรือรูปพระพุทธเจ้าไว้ในที่เหมาะสมเช่นบนโต๊ะหมู่บูชาหรือหิ้งพระหรือแขวนภาพพระพุทธรูปไว้ในที่สูง ไม่วางไว้ในที่ต่ําที่อาจจะข้ามกรายได้ไม่ประดิษฐานพระพุทธรูปหรือรูปพระพุทธเจ้าไว้ต่ํากว่ารูปเคารพอย่างอื่นเช่นรูปพระสาวก รูปพระสงฆ์ เทวรูปพระบรมฉายาลักษณ์
1.4 ไม่นําสิ่งของต่าง ๆ ไปห้อยหรือคล้องกับองค์พระพุทธรูปเช่นนําพวงมาลัยไปคล้องพระศอหรือแขวนไว้ที่พระกรของพระพุทธรูปยืนควรจะใส่พานบูชาไว้ข้างหน้าพระพุทธรูปหรือวางไว้บนโต๊ะหมู่บูชา
1.5 ปกป้องพระพุทธเจ้า คือป้องกันไม่ให้คนมาบิดเบือนพุทธประวัติเช่นนําพระพุทธประวัติมาพูดเล่นเป็นเรื่องสนุก กล่าวประวัติพระพุทธเจ้าผิดไปจากความเป็นจริง ควรขอร้องหรือห้ามบุคคลนั้นมิให้พูดเช่นนั้น

64
Q
  1. การแสดงความเคารพพระธรรม
A

2.1 แสดงความเคารพต่อสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรม เช่น รูปธรรมจักร คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา หนังสือธรรมะ
2.2 เมื่อผ่านพระสงฆ์ขณะที่กําลังแสดงธรรมควรแสดงความเคารพด้วยการไหว้
2.3 เวลาฟังธรรมเทศนาหรือฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ควรแสดงความเคารพโดยการนั่งสงบประนมมือตั้งใจฟังไม่พูดหรือคุยหรือแสดงกิริยาอาการไม่เรียบร้อย
2.4 หนังสือธรรมะหนังสือสวดมนต์ควรเก็บไว้ในที่สมควรไม่ควรเหยียบย่ําหรือเดินข้ามหรือฉีกไปใช้ห่อของ
2.5 ป้องกันพระธรรมคือป้องกันไม่ให้ใครนําพระธรรมไปตีความผิด ๆ หรือกล่าวตู่พระพุทธพจน์คือกล่าวอ้างคําสอนที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าเป็นคําสอนของพระพุทธเจ้า

65
Q
  1. การแสดงความเคารพพระสงฆ์
A

3.1 เมื่อไปพบพระสงฆ์ที่วัดไม่ว่าจะเป็นในโบสถ์หรือศาลาการเปรียญหรือกุฎิถ้ามีพระพุทธรูปอยู่ในที่นั้นด้วยให้กราบพระพุทธรูปด้วยเบญจางคประดิษฐ์ก่อนแล้วจึงกราบพระสงฆ์ทีหลังกราบพระพุทธรูปและการกราบพระสงฆ์ควรกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้งเหมือนกัน

3.2 เมื่อพบพระสงฆ์ในที่สาธารณะเช่นตามถนนหรือในยานพาหนะหรือพระสงฆ์นั่งเก้าอี้หรือยืนอยู่ในสถานที่ไม่เหมาะกับการนั่งกราบก็ให้แสดงความเคารพด้วยการไหว้แทนการไหว้พระสงฆ์จะต้องไหว้ในลักษณะนอบน้อมนิ้วหัวแม่มือจรดระหว่างคิ้วทั้ง 2 ข้างก้มศีรษะลงค้อมตัวลงไหว้ครั้งเดียวแล้วลดมือลงตามเดิม

3.3 การพูดกับพระสงฆ์ควรใช้คําพูดที่แสดงความเคารพถึงแม้จะมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันหรือเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนบวชก็ไม่ควรพูดล้อเล่นกับท่านไม่ตีเสมอทั้งนี้เพราะพระสงฆ์เป็นที่เคารพในฐานะเป็นปูชนียบุคคลของสังคม

66
Q

พูดกับ/คําแทนตัวท่าน/คําแทนผู้พูด ช-ญ/คํารับ ช-ญ
สมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระราชาคณะ
พระสงฆ์ที่เป็นญาติ
พระสงฆ์ที่ไม่ทรงสมณศักดิ์

A

ฝ่าพระบาท เกล้ากระหม่อม กระหม่อมฉัน พะย่ะค่ะ เพคะ
เจ้าประคุณ กระผม /ผม ดิฉัน ครับผม/ครับ เจ้าค่ะ / ค่ะ
หลวงตา/ปู่/น้า/อา ผม ดิฉัน ครับ ค่ะ
ท่าน/พระคุณเจ้า ผม ดิฉัน ครับ ค่ะ / เจ้าค่ะ

67
Q

เชิญ ใช้คําว่า
รับประทาน ใช้คําว่า
นอน ใช้คําว่า
ไหว้พระสวดมนต์ ใช้คําว่า
อยู่ประจําตลอด 3 เดือน ใช้คําว่า
อาบน้ํา ใช้คําว่า
ที่นั่ง ใช้คําว่า
ส้วม ใช้คําว่า
ของถวายพระ ใช้คําว่า
ของถวายพระเทศน์ ใช้คําว่า
เงิน ใช้คําว่า
โกนผม ใช้คําว่า
ส่งให้ถึงมือ ใช้คําว่า
ให้ ใช้คําว่า
อาหาร ใช้คําว่า
เรือนหรือตึก ใช้คําว่า
เจ็บป่วย ใช้คําว่า
ตาย ใช้คําว่า

A

นิมนต์อาราธนา
ฉัน (สําหรับพระสงฆ์ทั่วไป)เสวย (สําหรับสมเด็จพระสังฆราช)
จําวัด
ทําวัตร (เช้าหรือค่ํา)
จําพรรษาในฤดูฝน
สรงน้ํา
อาสนะ
ถานเวจกุฎี
ไทยธรรม
เครื่องกัณฑ์
ปลงผม
ประเคน
ถวาย
ภัตตาหาร
กุฎิ (อ่านว่า กุด – ติ)
อาพาธ
มรณภาพ,ถึงแก่มรณภาพ (สําหรับพระสงฆ์ทั่วไป)
สิ้นพระชนม์(สําหรับสมเด็จพระสังฆราช)

68
Q

ทิศ 6

A
  1. ปุรัตถิมทิส คือทิศเบื้องหน้าได้แก่บิดา มารดา
  2. ทักขิณทิส คือทิศเบื้องขวาได้แก่ครูอาจารย์
  3. ปัจฉิมทิส คือทิศเบื้องหลังได้แก่สามีภรรยา บุตร
  4. อุตตรทิส คือทิศเบื้องซ้ายได้แก่เพื่อน
  5. เหฎฐิมทิส คือทิศเบื้องล่างได้แก่คนรับใช้และคนงาน
  6. อุปริมทิส คือทิศเบื้องบนได้แก่สมณะ(พระสงฆ์)
69
Q

การปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์อย่างถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร
1. การลุกขึ้นยืนรับ

A

1.1 ถ้านั่งเก้าอี้อยู่ เมื่อพระสงฆ์เดินผ่านมาถึงที่เฉพาะหน้าควรลุกขึ้นยืนรับพร้อมกับพนมมือไหว้เมื่อท่านนั่งเรียบร้อยแล้วจึงนั่งลงตามเดิม
1.2 ถ้านั่งอยู่กับพื้นราบ เมื่อพระสงฆ์เดินผ่านมาถึงที่เฉพาะหน้าไม่นิยมลุกขึ้นยืนรับเพียงพนมมือไหว้หรือกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้งตามความเหมาะสมในสถานที่นั้น ๆ
1.3 สําหรับคฤหัสถ์ผู้เป็นเจ้าภาพงานพิธีต้อนรับพระสงฆ์เมื่อท่านเดินทางมาถึงบริเวณพิธีก็ควรไหว้และนิมนต์พร้อมทั้งนําท่านไปยังสถานที่ที่จัดรับรองไว้

70
Q

การปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์อย่างถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร
2. การให้ที่นั่งแก่พระสงฆ์

A

2.1 เมื่อพระสงฆ์มาร่วมในงานพิธีถ้าสถานที่นั้นจัดให้แขกนั่งเก้าอี้คฤหัสถ์และหญิงควรลุกขึ้นให้ที่นั่งแก่พระสงฆ์ในแถวหน้าหรือถ้าบริเวณงานพิธีจัดเป็นแบบนั่งพื้นราบควรจัดที่นั่งแก่พระสงฆ์ไว้ต่างหากโดยจัดเครื่องปูลาด เช่นเสื่อและพรม เป็นต้น ให้ที่ของพระสงฆ์มีระดับสูงกว่าที่ของคฤหัสถ์ตามสมควร
2.2 ถ้าคฤหัสถ์ชายจําเป็นต้องนั่งเก้าอี้แถวเดียวกับพระสงฆ์ควรนั่งเก้าอี้ด้านซ้ายของพระสงฆ์ส่วนคฤหัสถ์ที่เป็นหญิงถ้าหากจําเป็นต้องนั่งเก้าอี้ยาวเดียวกับพระสงฆ์ควรมีคฤหัสถ์ชายนั่งคั่นในระหว่างกลาง

71
Q

การปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์อย่างถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร
3. การตามส่งพระสงฆ์

A

3.1 เมื่อพระสงฆ์ที่นิมนต์มาร่วมพิธีงานนั้นลากลับ คฤหัสถ์ชายหญิงผู้ที่เป็นเจ้าภาพงานควรเดินตามไปส่งจนพ้นบริเวณพิธีหรือจนกว่าพาหนะของท่านจะออกพ้นบริเวณพิธีและควรแสดงความเคารพด้วยการพนมมือไหว้
3.2 เมื่อพระสงฆ์ลากลับและเดินผ่านบริเวณพิธีคฤหัสถ์ชายหญิงถ้านั่งเก้าอี้ก็ควรลุกขึ้นยืนและพนมมือไหว้ถ้านั่งในพื้นราบไม่ควรยืนขึ้นเพียงพนมมือไหว้หรือกราบตามควรแก่กรณ

72
Q

การปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์อย่างถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร
4. การหลีกทางให้พระสงฆ์

A

4.1 เมื่อพระสงฆ์เดินตามมาข้างหลัง ควรปฏิบัติดังนี้
1) หลีกทางเข้าชิดทางทางด้านซ้ายมือของพระสงฆ์หันหน้ามาทางท่านมือทั้ง 2 ประสานกันไว้ข้างหน้าพองาม
2) เมื่อพระสงฆ์ท่านเดินมาเฉพาะหน้าให้พนมมือไหว้
3) เมื่อพระสงฆ์สนทนาด้วยควรพนมมือพูดกับท่านถ้าไม่มีการสนทนาให้พนมมือไหว้แล้วลดมือประสานไว้ข้างหน้าจนกว่าพระสงฆ์จะเดินผ่านไปแล้วจึงค่อยเดินตามไปข้างหลัง

4.2 เมื่อเดินสวนทางกับพระสงฆ์ควรปฏิบัติดังนี้
1) หลีกไปทางด้านซ้ายของพระสงฆ์ยืนตรง มือทั้ง 2ประสานไว้ข้างหน้าหันหน้ามาทางพระสงฆ์
2) ขณะเดินตามหลังพระสงฆ์ให้เดินเยื้องตามไปด้านซ้ายโดยเว้นระยะห่างประมาณ2 – 3 ก้าว
3) ขณะเดินตามควรอยู่ในอาการสํารวมไม่สนใจหรือทักทายปราศรัยกับคนอื่น

73
Q

การปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์อย่างถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร
5. การรับสิ่งของจากพระสงฆ์

A

5.1 ถ้าพระสงฆ์ยืนหรือนั่งบนอาสนะสูง ควรปฏิบัติดังนี้เดินเข้าใกล้พอสมควรด้วยอากรสํารวมยืนตรงแล้วน้อมตัวลงเล็กน้อยพนมมือไหว้และยื่นมือทั้ง 2 ข้างเข้ารับสิ่งของสําหรับคฤหัสถ์ชายรับจากมือพระสงฆ์โดยตรงส่วนคฤหัสถ์หญิงแบมือทั้ง 2 ชิดกันคอยรองรับสิ่งของ

5.2 ถ้าพระสงฆ์นั่งเก้าอี้ควรปฏิบัติดังนี้
1. เดินเข้าใกล้พอสมควรด้วยอาการสํารวมยืนตรงแล้วก้าวเท้าขวาออกไป 1 ก้าวนั่งคุกเข่าซ้ายชันเข่าขวาน้อมตัวลงเล็กน้อยพนมมือไหว้ยื่นมือทั้ง 2 ออกไปรับสิ่งของจากพระสงฆ์
2. เมื่อรับสิ่งของแล้วถ้าสิ่งของนั้นเล็กควรน้อมตัวลงพนมมือไหว้พร้อมสิ่งของในมือ แต่ถ้าสิ่งของนั้นใหญ่หรือหนักไม่นิยมไหว้เพียงยกสิ่งของนั่นประคองไว้แล้วยืนขึ้นชักเท้าขวากลับมายืนตรงก้าวเท้าซ้ายถอยหลังไป1ก้าวชักเท้าขวามาประชิดแล้วหันหลังเดินกลับออกไป

5.3 ถ้าพระสงฆ์นั่งกับพื้น ควรปฏิบัติดังนี้
1. เดินเข้าไปด้วยอาการสํารวมเมื่อถึงที่ปูลาดด้วยเสื่อหรือพรมควรนั่งคุกเข่าลงแล้วเดินเข่าไปใกล้พอสมควร นั่งคุกเข่าตามเพศแล้วกราบเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้งยื่นมือทั้ง 2 ออกรับสิ่งของจากพระสงฆ์
2. เมื่อรับสิ่งของแล้วนิยมวางสิ่งของนั้นทางด้านขวาของตนเองแล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้งหยิบสิ่งของประคองไว้เดินเข่ากลับออกไปจนสุดบริเวณเครื่องปูลาดจึงลุกขึ้นหันหลังเดินออกไป
3. เมื่อพระสงฆ์เดินผ่านมาให้ยืนตรงหรือนั่งกระหย่งพนมมือไหว้ตามแต่กรณี
4. เมื่อพระสงฆ์สนทนาด้วยควรพนมมือพูดด้วยหากไม่มีการสนทนาให้พนมมือไหว้แล้วลดมือประสานไว้ข้างหน้าจนกว่าพระสงฆ์จะเดินผ่านไปแล้วจึงเดินต่อไป

5.4 เมื่อพบพระสงฆ์ยืนอยู่ควรปฏิบัติดังนี้
1. ชายหยุดยืนตรงหญิงย่อเข่าก้มศีรษะและพนมมือไหว้
2. เมื่อมีการสนทนาก็ควรพนมมือพูดด้วยถ้าไม่มีการสนทนาก็ควรเดินหลีกไปทางด้านซ้ายของพระสงฆ์

5.5 เมื่อพบพระสงฆ์นั่งอยู่ควรปฏิบัติดังนี้
1. หยุดนั่งกระหย่ง หรือนั่งคุกเข่าพนมมือไหว้ตามควรแก่สถานที่
2. เมื่อท่านสนทนาด้วยก็ควรพนมมือพูดด้วย
3. เมื่อท่านไม่สนทนาด้วยให้ลุกขึ้นเดินค้อมตัวหลีกไปทางด้านซ้ายของพระสงฆ์
4. ถ้าพระสงฆ์นั่งอยู่ในที่แจ้งมีเงาปรากฏไม่พึงเหยียบเงาของพระสงฆ์ควรเดินเลี่ยงไปทางอื่น