SUM M.5 T.1 Flashcards
อสังขตธรรม
สิ่งหรือปรากฏการณ์ทั้งหลายที่มีอยู่ในธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ สิ่งที่เหนือธรรมชาติ ปราศจากปัจจัยปรุงแต่ง (หมายถึงพระนิพพาน)
สังขตธรรม
สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ เกิดขึ้นเป็นไปตามอำนาจเหตุปัจจัยปรุงแต่ง
อาคาริยวินัย
ศีลสำหรับผู้ครองเรือนนั้นได้แก่ ศีล 5 ศีล 8 และหลักแห่งความประพฤติที่จำเป็นสำหรับผู้ครองเรือนบางหมวด
อนาคาริยวินัย
ศีลสำหรับผู้ไม่ครองเรือน หมายถึง ภิกษุ และภิกษุณี แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
2.1 อาทิพรหมจริยกาศีล ศีลที่เป็นหลักใหญ่ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเป็นสิกขาบทหรือเป็นข้อ ๆ เรียกอีกอย่างว่าศีลที่มาในพระปาฏิโมกข์ สำหรับภิกษุมี 227 สิกขาบท สำหรับภิกษุณีมี 311 สิกขาบท
2.2 อภิสมาจาริกาศีล คือ ศีลหรือข้อบัญญัติเกี่ยวกับมารยาทที่ควรประพฤติและไม่ควรประพฤติ นอกจากที่มาในพระปาฏิโมกข์เพื่อให้เหมาะสมแก่ความเป็นสมณะที่แตกต่างจากผู้ครองเรือนทั่วไป
อนุบัญญัติ และ มูลบัญญัต
บัญญัติเพิ่มเติมเรียกว่า อนุบัญญัติ ส่วนพระบัญญัติเก่าเรียกว่า มูลบัญญัติ
อาทิกัมมิกะ
ผู้เป็นต้นบัญญัติ
ทิฎฐธัมมิกัตถะ และ สัมปรายิกัตถะ และ ปรมัตถะ
ประโยชน์ขั้นต้น และ ประโยชน์ขั้นสูง และ ประโยชน์ขั้นสูงสุด (นิพพาน)
ขันธ์ 5
หมายถึงองค์ประกอบของชีวิต 5 ประการ
- รูป คือส่วนที่เป็นร่างกายรวมถึงพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย (ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ขนาดกว้างศอก ยาววา หนาคืบ)
- วิญญาณ คือการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 และใจ
- เวทนา หมายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อสิ่งที่รับรู้
- สัญญา ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าคำมั่นสัญญาเหมือนในภาษาสามัญ แต่หมายถึงการกำหนดหมายรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง การแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร อันเป็นขั้นตอนถัดจากเวทนา
- สังขาร แปลว่าสิ่งที่ปรุงแต่งจิต หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ เช่น แรงจูงใจ หรือสิ่งกระตุ้นผลักดันให้มนุษย์กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผลรวมของการรับรู้ (วิญญาณ) ความรู้สึก (เวทนา) และความจำได้ (สัญญา) ที่ผ่านมา เช่น ตารับรู้วัตถุสิ่งหนึ่ง (วิญญาณ) รู้สึกว่าสวยดี (เวทนา) จำได้ว่ามันเป็นวัตถุกลม ๆ ใส ๆ (สัญญา) แล้วเกิดแรงจูงใจผลักดันให้เอื้อมมือไปหยิบมาเพราะความอยากได้ ขั้นตอนนี้แหละเรียกว่าสังขาร สังขารจึงเป็นขั้นตอนที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมซึ่งมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ฝ่ายดีเช่น ศรัทธา สติ เมตตา กรุณา ปัญญา เป็นต้น ฝ่ายชั่วเช่น โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ มิจฉริยะ เป็นต้น
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ, มโนวิญญาณ
- การรับรู้ทางตา หรือ “การเห็น” เรียกว่า จักขุวิญญาณ
- การรับรู้ทางหู หรือ “การได้ยิน” เรียกว่า โสตวิญญาณ
- การรับรู้ทางจมูก หรือ “การได้กลิ่น” เรียกว่า ฆานวิญญาณ
- การรับรู้ทางลิ้น หรือ “การลิ้มรส” เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ
- การรับรู้ทางกาย หรือ “การสัมผัสทางกาย” เรียกว่า กายวิญญาณ
- การรับรู้ทางใจ หรือ “การคิด” เรียกว่า มโนวิญญาณ
คุณค่าทางจริยธรรมของขันธ์ 5
ขันธ์ 5 แสดงถึงความเป็นอนัตตา
การมองสิ่งทั้งหลายโดยวิธีการแยกส่วนประกอบตามขันธ์ 5
โลกธรรมเป็นหลักคำสอนที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่เท่าไหร่?
หนังสือเล่มที่ 23 อังคุตรนิกายอัฎฐกนิบาต ข้อ 159
โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์
ฝ่ายที่มนุษย์พอใจในสี่เรื่องคือ
ได้ลาภ หมายความว่า ได้ผลประโยชน์ ได้ทรัพย์สินเงินทอง ได้โชคลาภ ได้บ้านเรือนที่ดี ฯลฯ
ได้ยศ หมายความว่า ได้รับเติมเต็มใหม่ ฐานที่ดี รสนิยม ได้ตำแหน่ง ได้อานาจ ได้เป็นใหญ่
ได้รับสรรเสริญ คือได้ยินได้ฟังคำชมเชย คำยกย่อง คำสดุดีที่คนอื่นให้เรา
ได้สุข คือได้ความสบายกายสบายใจ ได้ความเบิกบานระเรื่อง ได้ความบันเทิงใจ
โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์
ฝ่ายที่มนุษย์ไม่พอใจในสี่เรื่องคือ
เสียลาภ หมายความ คือสูญเสียลาภที่ได้มาแล้วเสียไป เช่น เสียเงิน เสียทอง ละเมิดกฎหมาย เมื่อระแวงตาย
เสียมยศ หมายถึง ถูกลดความเป็นใหญ่ ถูกถอดจากตำแหน่ง ถูกถอดอำนาจ
ถูกนราธา หมายถึง ถูกตำหนิหรือตีนอนวาไม่ดี หรือใครปฏิเสธถึงความไม่ดีของเราในทางบ่งชี้ เรียกว่าถูกนราธา
ตกทุกข์ คือได้รับความทรมานกายทรมานใจ
ปาณาติบาต
การกระทำที่ปราศจากเจตนาไม่นับเป็นกรรม เช่น ถ้าไม่มีเจตนาเดินไปเหยียบมดตายก็ไม่เป็นกรรม
คำว่า “กรรมนิยาย” ใช้แทนคำไทยที่หมายถึง “กรรม” ในทางพระพุทธศาสนาว่า “กรรมนิยาม” หมายถึงกระบวนการกระทำและผลของการกระทำของมนุษย์ซึ่งมีหลักการกฎกำหนดว่า
คนหว่านพืชเช่นใดย่อมได้ผลเช่นนั้น
ผู้ทำกรรมดีจะได้รับผลดี
ผู้ทำกรรมชั่วจะได้รับผลชั่ว
การแบ่งกรรมตามคุณภาพหรือลักษณะเหตุการณ์ของการกระทำ
กรรมชั่ว (อกุศลกรรม)
การกระทำที่เกิดจากอกุศลมูล คือ ความโลภ , ความโกรธ (โกรธ), และความหลง (หลง)
กรรมดี (กุศลกรรม)
การกระทำที่เกิดจากกุศลมูล คือ ความโกรธ (อโลภะ), ความโทสะ (อโทสะ), และ (อโมหะ)
กรรมแบ่งตามทางแสดงออก
การกระทำทางกาย (กายกรรม) สามารถแบ่งได้เป็น: กายสุจริต 3 กายทุจริต 3
การกระทำทางวาจา (วจีกรรม) สามารถแบ่งได้เป็น: วจีสุจริต 3 วจีทุจริต 3
การกระทำทางใจ (มโนกรรม) สามารถแบ่งได้เป็น: มโนสุจริต 3 มโนทุจริต 3
กรรม 12 สามารถแบ่งเป็น 3 หมวดได้ดังนี้
กรรมแบ่งตามเวลาที่ให้ผล มี 4 ข้อ
กรรมแบ่งตามหน้าที่ที่ให้ผล มี 4 ข้อ
กรรมแบ่งตามหนักเบา มี 4 ข้อ
กรรมแบ่งตามสภาพที่สัมพันธ์กับการให้ผลสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทได้ดังนี้:
อกุศลกรรม เช่น ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ผิดในกามมุสาวาทดื่มสุราเมรัย
กุศลกรรม เช่น การประพฤติตามกุศลกรรมบท 10
กรรมที่เป็นทั้งอกุศลกรรมและกุศลกรรม เช่น การกระทำของมนุษย์ทั่วไป
กรรมที่ไม่เป็นทั้งอกุศลกรรมและกุศลกรรม เช่น เจตนาเพื่อละกรรมสามอย่างข้างต้น หรือว่าโดยองค์ธรรม ได้แก่ โพชฒงค์ 7 หรือมรรค์มีองค์ 8
กรรมแบ่งตามกาลเวลาที่ให้ ผล สามารถจําแนกกรรมประเภทนี้แบ่งย่อยเป็น 4 ประเภท คือ
1) กรรมใหผลทันตาเห็นหรือในชาตินี้ (ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม)
2) กรรมใหผลในกาลข้างหน้าหรือชาติหน้า (อุปัชชเวทนียกรรม)
3) กรรมใหผลในระยะเวลานานข้างหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป (อปราปรเวทนียกรรม)
4) กรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผลหรือกรรมที่ให้ผลสาเร็จแล้ว (อโหสิกรรม)
กรรมแบ่งตามหน้าที่ที่ให้ผล จําแนกออกเป็น 4 ประเภท
1) กรรมนําไปเกิด (ชนกกรรม) กรรมชนิดนี้ทําหน้าที่พาไปเกิดอย่างเดียว เมื่อนําไปเกิดตามเงื่อนไขที่สัตว์กระทําไว้แล้วก็หมดหน้าที่
2) กรรมสนับสนุน (อุปัตถัมภกกรรม) กรรมชนิดนี้ทําหน้าที่สนับสนุนชนกกรรม ในขณะเดียวกันก็ซ้ําเติมด้วยถ้าเป็นกรรมชั่ว เช่น ชนกกรรมแต่งมาให้ถือกําเนิดในตระกูลดีก็สนับสนุนให้ดียิ่งขึ้น ถ้าแต่งมาให้กําเนิดในตระกูลต่ําก็คอยซ้ําเติมให้เลวลงไปอีก
3) กรรมบีบคั้นหรือหันเหทิศทาง(อุปปีฬกกรรม) กรรมชนิดนี้ทําหน้าที่บีบคั้นมิให้ดีเต็มที่หรือ มิให้เลวเต็มที่
4) กรรมตัดรอน (อุปฆาตกรรม) กรรมชนิดนี้ทําหน้าที่คล้ายกับอุปปีฬกกรรมแต่มีพลังแรงกว่า ขณะที่กรรมอื่นกําลังให้ผลอยู่กรรมชนิดนี้จะไปตัดรอนและให้ผลชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เช่น คนกําลังประสบความสําเร็จมีความสุขเต็มที่แต่ก็ต้องประสบหายนะลงโดยปัจจุบันทันด่วน หรือกําลังทุกข์หนัก แต่ก็เกิดเหตุการณ์ดีๆ ขึ้นช่วยให้พ้นทุกข์อย่างปาฏิหาริย์
กรรมแบ่งตามหนักเบาแบ่งออกเป็น4ประเภทคือ
1) กรรมหนัก (ครุกรรม) หมายเอาอนันตริยกรรม 5 คือฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ทําพระโลหิตพระพุทธเจ้าให้ห้อ ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน (สังฆเภท)
2) กรรมเคยชิน (พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม) ได้แก่กรรมที่ทําซ้ําซาก เช่น คนที่ฆ่าสัตว์เป็นประจํากรรมนี้หนักรองจากครุกรรมถ้าไม่มีกรรมอื่นกรรมชนิดนี้จะให้ผลก่อน
3) กรรมใกล้ตาย (อาสันนกรรม) หมายถึงกรรมที่คนกระทําเมื่อจวนจะตายเช่นคนทํากรรมมามากทั้งชั่วทั้งดีเวลาจะตายนึกถึงกรรมดีที่ทําไว้ได้เป็นต้นเมื่อตายลงกรรมนี้จะทําหน้าที่นําไปเกิดในสุคติภพทันที
4) กรรมสักว่าทํา (กตัตตากรรม) หมายถึง กรรมที่ทําด้วยเจตนาอ่อนมากเป็นกรรมชนิดอ่อนต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นกรรมนี้จึงจะให้ผลเช่นให้ทานแก่ขอทานโดยไม่เต็มใจให้
กรรมวิบาก
ผลแห่งกรรม
การให้ผลของกรรมนั้นเราอาจพิจารณาได้ 3 ระดับคือ
1) ระดับภายในจิตใจหรือคุณภาพจิต กรรมทําให้เกิดผลในจิตใจ มีการสั่งสมคุณสมบัติคือคุณภาพทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วมีอิทธิพลปรุงแต่งความรู้สึกนึกคิดความโน้มเอียงต่าง ๆ ทุกครั้งที่บุคคลทําความชั่วเช่นด่าหรือนินทาคนอื่นหรือคิดพยาบาทคนอื่นนับว่าเขา“ได้รับผลชั่ว”เป็นการตอบแทนทันที
ระดับบุคลิกภาพและอุปนิสัย กรรมที่ทําลงไปทําให้เกิดผลในการสร้างเสริมลักษณะนิสัยปรุงแต่งลักษณะความประพฤติการแสดงออกท่าทีการวางตัวการปรับตัวบุคลิกลักษณะหรืออุปนิสัยที่ดีเช่น มีเมตตา อารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่อิจฉาริษยา ไม่อาฆาตพยาบาท ไม่วู่วาม พูดจาไพเราะ มีความมั่นคงทางอารมณ์เป็นต้น
ระดับภายนอกหรือผลทางสังคม ผลของกรรมระดับนี้คือสิ่งที่มองเห็นในชีวิตประจําวัน เช่นลาภยศสรรเสริญสุขทุกข์อันเป็นผลที่เขาได้รับในสังคมที่เขาอยู่ผลภายนอกนี้
มิจฉาวณิชชา 5
การค้าขายที่ผิดหรือไม่ชอบธรรม
- สัตถวณิชชา ค้าขายอาวธุ คือ การขายอาวุธเครื่องประหัตประหารทําร้ายทําลายกัน
- สัตตวณิชชา ค้าขายมนุษย์คือการขายคนให้เป็นทาสของคนอื่นหรือการขายผู้หญิงไปเป็นโสเภณี
- มังสวณิชชา ค้าขายเนื้อสัตว์คือขายเนื้อหมูเนื้อวัวเนื้อควายเนื้อไก่ฯลฯ
- มัชชวณิชชา ค้าขายนาเมา ้ํ คือสุราเมรัยและเครื่องดื่มที่ทําให้มึนเมาขาดสติทุกชนิด
- วิสวณิชชา ค้าขายยาพิษ คือยาเสพติดเช่นยาบ้าเฮโรอีนฝิ่นกัญชารวมทั้งยาพิษที่ทําให้คนหรือสัตว์ตายหลังจากกินยานั้นเข้าไปแล้วเช่นยาที่ผสมในอาหารเคร่องด ื ื่มหรือน้ําดื่มเป็นต้น
วิมุตติ 5
- ตทังควิมุตติได้แก่การทําจิตของตนให้หลุดพ้นจากกิเลสได้ชั่วคราว เช่น มีเรื่องชวนให้โกรธก็พิจารณาให้เห็นโทษของความโกรธแล้วหักห้ามใจไว้ไม่โกรธตอบ
- วิกขัมภนวิมุตติได้แก่ความหลุดพ้นด้วยการกดหรือทับกิเลสไว้ด้วยอํานาจแห่งฌาน
- สมุจเฉทวิมุตติได้แก่ความหลุดพ้นด้วยการตัดกิเลสได้เด็ดขาดโดยไม่ให้กิเลสกําเริบเกิดขึ้นอีก
- ปฏิปัสสัทธิวิมุตติได้แก่ความหลุดพ้นด้วยการทําให้กิเลสสงบระงับไปอย่างราบคาบ
- นิสสรณวิมุตติได้แก่ ความหลุดพ้นจากอํานาจกิเลสด้วยการหลีกออกไปตามอย่างของพระอริยบุคคลผู้บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว
ระดับโลกิยะ ระดับโลกุตตระ
(การหลุดพ้นจากกิเลสชั่วคราว ทําให้มีความสุขสงบชั่วคราว)
(การหลุดพ้นจากกิเลสอย่างเด็ดขาด ทําให้มีความสุขสงบอย่างถาวร)
ปาปณิกธรรม 3
หลักพ่อค้า,องค์คุณของพ่อค้า
- จักขุมา ตาดีรู้จักสินค้า ดูของเป็น สามารถคํานวณราคา กะทุนเก็งกําไรแม่นยํา
- วิธูโร จัดเจนธุรกิจ รู้แหล่งซื้อแหล่งขาย รู้ความเคลื่อนไหว ความต้องการของตลาด สามารถจัดซื้อจัดจําหน่าย รู้ใจและรู้จักเอาใจลูกค้า
- นิสสยสัมปันโน พร้อมด้วยแหล่งทุนเป็นที่อาศัย เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจในหมู่แหล่งทุนใหญ่ ๆ หาเงินมาลงทุนหรือดําเนินกิจการโดยง่าย
โภคอาทิยะ5
ประโยชน์ที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย์หรือเหตุผลที่อริยสาวกควรยึดถือในการที่จะมีหรือครอบครองโภคทรัพย์
- เลี้ยงตัวมารดาบิดาบุตรภรรยาและคนในปกครองทั้งหลายให้เป็นสุข
- บํารุงมิตรสหายและผู้ร่วมกิจการงานให้เป็นสุข
- ใช้ป้องกันภยันตราย
- ทําพลี5อย่าง
4.1 ญาติพลีสงเคราะห์ญาติ
4.2 อติถิพลีต้อนรับแขก
4.3 ปุพพเปตพลีทําบุญอุทิศใหผ้ลู้ ่วงลับ
4.4 ราชพลีบํารุงราชการด้วยการเสียภาษีอากรเป็นต้น
4.5 เทวตาพลีถวายเทวดาคือสักการะบํารุง หรือ ทําบุญอุทิศสิ่งที่เคารพบูชาตามความเชื่อถือ - อุปถัมภ์บํารุงสมณพราหมณ์ผประพฤต ู้ ิดีปฏิบัติชอบ
ในจูฬนิทเทสท่านอธิบายความหมายของ “เทวดา”ไว้ว่าได้แก่สิ่งที่นับถือเป็นทักขิไณย์ของตน ๆ (เยเยสฺทิกฺขิเณยฺยา,เตเตลํเทวตา – พวกไหนนับถือสิ่งใดเป็นทุกขิไณย์สิ่งนั้นก็เป็นเทวดาของพวกนั้น) และแสดงตัวอย่างไว้ตามความเชื่อถือของคนสมัยพุทธกาลประมวลได้เป็น 5 ประเภท คือ
- นักบวชนักพรต (ascetics) เช่น อาชีวกเป็นเทวดาของสาวกอาชีวก นิครนถ์ชฎิลปริพาชกดาบสก็
เป็นเทวดาของสาวกนิครนถ์เป็นต้นเหล่านั้นตามลําดับ - สัตว์เลี้ยง (domesticanimals) เช่น ช้างเป็นเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาช้าง ม้าโคไก่กาเป็นต้นก็เป็นเทวดาของพวกถือพรตบูชาสัตว์นั้น ๆตามลําดับ
- ธรรมชาติ (physical forces and elements) เช่น ไฟเป็นเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาไฟแก้วมณีทิศพระจันทร์พระอาทิตย์เป็นเทวดาของผู้ถือพรตบูชาสิ่งนั้น ๆตามลําดับ
- เทพขั้นต่ํา (flowergods) เช่น นาคเป็นเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชานาค ครุฑยักษ์คนธรรพ์
เป็นเทวดาของผู้ถือพรตบูชานาคเป็นต้นเหล่านั้นตามลําดับ(พระภูมิจัดเข้าในข้อนี้) - เทพชั้นสูง (highergod) เช่น พระพรหมเป็นเทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาพระพรหม พระอินทร์เป็นเทวดาของผู้ถือพรตบูชาพระอินทร์เป็นต้น
ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4
ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน,หลักธรรมอันอํานวยประโยชน์สุขขั้นต้น
1) อุฎฐานสัมปทา คือ มีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าที่การงานประกอบอาชีพสุจริต มีความชํานาญรู้จักใช้ปัญญาสอดส่องตรวจตราหาอุบายวิธีสามารถจัดดําเนินการให้ได้ผลดี
2) อารักขสัมปทาน คือรู้จักเก็บรักษาคุ้มครองป้องกันโภคทรัพย์และผลงานอันตนได้ทําไว้ด้วยความขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรมไม่ให้เป็นอันตรายหรือเสื่อมหาย
3) กัลยาณมิตตตา คือรู้จักคบคนดีเป็นมิตรเลือกเสวนาสําเหนียกศึกษาเยี่ยงอย่างท่านผู้ทรงคุณธรรม มีความสามารถและมีคุณสมบัติเกื้อกูลแก่อาชีพการงาน
4) สมชีวิตา คือรู้จักกําหนดรายได้รายจ่ายเลี้ยงชีวิตแต่พอดีมิให้ฝืดเคืองหรือฟุ่มเฟือย ให้รายได้เหนือรายจ่ายรู้จักประหยัดอดออม
อุ อา กะ สะ
ซึ่งเป็นคําขึ้นต้นของหลักธรรมแต่ละข้อใน ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 จึงถูกเรียกว่า “หัวใจเศรษฐี”
อริยวัฑฒิ 5
ธรรมอันเป็นความเจริญของอารยชน (noble growth; development of a
civilized or a righteous man) อารยชน หรือ อริยชน ทางพระพุทธศาสนา หมายถึง คนประเสริฐหรือคนดีในอุดมคติบุคคลเช่นนี้มีคุณสมบัติที่สําคัญ5ประการ
ศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
ศีล ความประพฤติดีมีวินัยเลี้ยงชีพสุจริต
สุตะ การสดับรับฟังหรือเล่าเรียนศึกษา
จาคะ การเผื่อแผ่เสียสละ
ปัญญา ความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้รู้พิจารณาฉลาดในความเจริญความเสื่อมและวิธีการ
คุณสมบัติทั้ง 5 ประการนี้ใช้เป็นเครื่องวัดบุคคลได้ว่าเป็นผู้มีความเจริญงอกงามบรรลุความเป็นอารยชนได้สมบูรณ์มากน้อยเพียงไร
สิ่งที่พทธศาสน ุ ิกควรเชื่อ 4 ประการมีดังตอไปน
- กมฺมสทฺธา คือเชื่อว่าสิ่งดีสิ่งชั่วมีจริงบุญบาปมีจริงเพราะสามารถเห็นได้แม้ในปัจจุบันนี้เช่นการทําดีได้ผลด
- วิปากฺสทฺธา คือเชื่อในผลของกรรมเชื่อว่ากรรมที่บุคคลทําไว้ย่อมให้ผลแน่ผู้ทํากรรมดีย่อมได้รับผลดีผู้ทํากรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
- กมฺมสฺสกตาสทฺธา คือ เชื่อว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน ความดีความชั่ว ความบริสุทธิ์ความเศร้าหมองไม่อาจทําแทนกันได้
- ตถาคตโพธิสทฺธา คือเชื่อมั่นในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า การเชื่อเช่นนี้หมายถึงการเชื่อในพระรัตนตรัย คือเมื่อเชื่อการตรัสรู้ก็หมายถึงเชื่อในพระธรรมคําสอนทั้งหมดเชื่อ กมฺมสทฺธา วิปากฺสทฺธา และ กมฺมสฺสกตาสทฺธา
สําหรับพระภิกษุศีลทั้งหมดนี้มีลักษณะที่สําคัญตรงกันคือ
- ทําให้เกิดสภาพความเป็นอยู่ผาสุก ไม่สร้างความเดือดร้อนหรือสิ่งร้ายให้แก่ตนและผู้อื่นช่วยให้ตนและผู้อื่นปฏิบัติกิจการต่าง ๆได้สะดวกและมีผลดียิ่งขึ้น
- ทําให้สมาชิกของชุมชนอยู่รวมกันด้วยดีมีสุขสังคมมีระเบียบเรียบร้อยสมาชิกของชุมชนแต่ละคนสามารถปฏิบัติกิจการของตนและดํารงชีวิตได้อย่างผาสุก
- ช่วยฝึกหัดขัดเกลาจิตใจให้รู้จักควบคุมยับยั้งชั่งใจในการกระทําและการพูดปรับกายและวาจาให้เรียบร้อยเหมาะสมที่จะอยู่ร่วมกันนอกจากนี้ยังเป็นพื้นฐานของสมาธิหรือคุณธรรมทางจิตใจ ขั้นสูงอีกด้วย
ศีล 5 อาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า
มนุษยธรรมเพราะเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย
สุตะ
หมายถึง ความรู้ที่ได้ยินได้ฟังความรู้ที่ได้จากการศึกษาวิชาต่าง ๆเกี่ยวกับการทํามาหาเลี้ยงชีพและการประกอบกิจการต่าง ๆ ในทางโลก
จาคะ
แปลว่าการสละ การสละให้หมายถึงการให้ที่แท้จริงเป็นการเผื่อแผ่หรือการเสียสละทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกสละวัตถุ ภายในสละกิเลสคือความโลภไม่มีความรู้สึกตระหนี่หวงแหนไม่ปรารถนาผลตอบแทน
ปัญญา
แปลว่าความรู้ทั่วไปหรือรู้ชัดหมายถึงความรู้3ประการ คือ
- รอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้
- รู้คิดรู้พิจารณา
- ฉลาดในความเจริญความเสื่อมและวิธีการ
ความฉลาดมีอยู่ 3 ประการคือ
1) ความฉลาดในความเจริญ ในภาษาศาสนาเรียกว่าอายโกศล ได้แก่ รอบรู้ในเรื่องความเจริญว่าเป็นอย่างไรและรอบรู้สาเหตุที่จะทําให้เกิดความเจริญนั้นด้วย เช่น รู้ว่าการศึกษาจะทําให้ชีวิตมีความก้าวหน้าสามารถนํามาหาเลี้ยงชีพได้และรู้สาเหตุที่จะทําให้เจริญได้แก่อิทธิบาท 4 เป็นต้น
2) ความฉลาดในความเสื่อม ในภาษาศาสนาเรียกว่าอปายโกศล ได้แก่รอบรู้ในเรื่องความเสื่อมพร้อมทั้งสาเหตุของความเสื่อมนั้นด้วยเช่นรู้ว่าทางแห่งความเสื่อมของชีวิตคือการไม่ศึกษาหรือไม่ตั้งใจศึกษาและสาเหตุของความเสื่อมนั้นได้แก่ความเบื่อหน่ายความเกียจคร้านการไม่สนใจ หรือใฝ่ใจและขาดการแสวงหา
ความรู้ในวิชาต่าง ๆที่เรียนเป็นต้น
3) ความฉลาดในวิธีการ ในภาษาศาสนาเรียกว่าอุปายโกศลได้แก่การรอบรู้วิธีการแก้ไขเหตุการณ์หรือวิธีที่จะทําให้สําเร็จเช่นรู้ว่าเมื่อมีความเกียจคร้านเกิดขึ้นก็รู้ว่าต้องสร้างฉันทะหรือความชอบให้เกิดขึ้นวิชาใดที่ไม่ชอบมาตั้งแต่ต้นก็พยายามศึกษาให้เข้าใจ พิจารณาผลได้ผลเสียของวิชานั้น ฉันทะก็จะเกิดขึ้นถ้าเป็นกิจขนาดใหญ่ก็ยิ่งจะต้องสร้างฉันทะให้เกิดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเป็นต้น
อปริหานิยธรรม 7
ธรรมที่ทําให้ไม่เสื่อม ทําให้เจริญอย่างเดียว สําหรับหมู่ชนหรือผู้บริหารบ้านเมือง
- หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
- พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทํากิจที่พึงทํา
- ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม รวมทั้งไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว)
- ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ควรเคารพนับถือท่านเหล่านั้น
- บรรดากุลสตรีกุลกุมารีทั้งหลาย มิให้อยู่อย่างถูกข่มเหงรังแกหรือฉุดคร่า ขืนใจ
- คารพ สักการะ บูชาเจดีย์หรืออนุสาวรีย์ประจําชาติ
- จัดการอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน โดยชอบธรรมแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย รวมถึงพระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วย
มงคลชีวิต 34-38 (highest blessings) (เน้นประการที่ 38)
มงคลที่ 34 การทําพระนิพพานให้แจ้ง/บรรลุนิพพาน
1. สอุปาทิเสสนิพพาน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กิเลสนิพพาน คือ การดับกิเลสแต่ไม่ได้ดับขันธ์แบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ นิพพานถาวร หมายถึง การดับกิเลสได้เด็ดขาด กับ นิพพานชั่วคราวหมายถึง การดับกิเลสได้ชั่วคราว
2. อนุปาทิเสสนิพพาน การดับทั้งกิเลสและขันธ์ 5 หรือที่เรียกว่า ขันธนิพพาน
มงคลที่ 35 จิตไม่หวั่นไหวเพราะโลกธรรม/ถูกโลกธรรมจิตไม่หวั่นไหว - โลกธรรม 8
โลกธรรม 8 คือสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นในโลกได้แก่ลาภเสื่อมลาภ ยศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทา สุขทุกข์ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทําให้คนเรารวนเรได
มงคลที่ 36 จิตไม่เศร้าโศก - อโสก
มงคลที่ 37 จิตไม่มีธุลี/จิตไม่มัวหมอง - วิรช - กุศลมูล 3
มงคลที่ 38 จิตเกษม
จิตเกษม คือจิตที่สงบปลอดภัยพ้นภัยคําว่าพ้นภัยในที่นี้หมายความว่าพ้นภัยทั้งทางโลกและทางธรรมพ้นภัยทางโลกก็เช่นพ้นจากความเจ็บป่วยพ้นจากความหนาวเย็น พ้นจากการนินทา เป็นต้น พ้นภัยทางธรรมก็เช่นพ้นจากความโลภ พ้นจากความโกรธพยาบาท พูดง่าย ๆก็คือพ้นจากกิเลสนั่นเอง ผู้ที่มีปัจจัย4เลี้ยงชีวิต
เรียกได้ว่าพ้นภัยทางโลกในระดับหนึ่ง แต่ผู้ที่พ้นภัยทางโลกนั้นจําเป็นต้องพ้นภัยทางธรรมการพ้นภัยทางธรรมเป็นการพ้นภัยทางด้านจิตใจซึ่งสําคัญกว่าการพ้นภัยทางโลกผู้ที่พ้นภัยทางธรรมได้หมดสิ้นคือหมดสิ้นซึ่งกิเลสนั้นก็คือผู้ที่ได้บรรลุปรมัตถธรรมของพระศาสนาแต่ณที่นี้เราจะยังไม่ต้องหวังสูงขนาดนั้นเราจะพูดถึงหลักธรรมที่จะช่วยให้จิตของเราสงบและพ้นภัยระดับกลาง ๆ คือ สัปปุริสธรรม 7
สัปปุริสธรรม 7 เน้น
คือธรรมที่จะช่วยทําให้เราเป็นสัปปบุรุษหรือคนดีมีความสงบสุขทั้งทางกายและใจ
1. รู้จักเหตุคือรู้จักหาสาเหตุของสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
2. รู้จักผล คือรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายต้องมีสาเหตุไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอย ๆ
3. รู้จักตน คือรู้สถานภาพของตน รู้ว่าคนมีสติปัญญาความสามารถความอดทนเพียงใด
4. รู้จักประมาณ คือรู้จักทําสิ่งต่าง ๆ หรือดําเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับสภาพของตน
5. รู้จักกาล คือรู้ว่าควรทําอะไรเวลาใดไม่ควรทําอะไรเวลาใดเ
6. รู้จักชุมชน คือรู้ว่าอยู่ในชุมชนอย่างใดควรทําตัวอย่างไร
7. รู้จักบุคคล คือรู้จักอุปนิสัยของบุคคล รู้ว่าบัณฑิตเป็นอย่างไร คนพาลเป็นอย่าไร
ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักธรรมข้อนี้ได้จะพ้นภัยทางโลกอย่างแน่นอนและจะมีความสงบทางใจ
จงอธิบายมโหสถชาดก
ตามหนังสือ
พระไตรปิฎกในแง่เทศนา3
1) พระวินัยปิฏก เรียกว่า “อาณาเทศนา” (แสดงด้วยคําสั่ง) หมายถึงทรงวางระเบียบข้อบังคับสั่งห้ามมิให้ทําสิ่งที่ไม่เหมาะสมแก่สมณสารูป เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและน่าเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนและคนต่างศาสนา
2) พระสุตตันตปิฎก เรียกว่า “โวหารเทศนา” (แสดงด้วยโวหาร) หมายถึง เนื้อหาในพระสุตตันตปิฎกนั้นเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงใช้โวหารแสดงเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจเพราะผู้ฟังมีทั้งผู้มีการศึกษาดีและไร้การศึกษาจึงต้องเลือกวิธีการอธิบายที่เหมาะสมแก่พื้นฐานและภูมิหลังของผู้ฟัง
3) พระอภิธรรมปิฎก เรียกว่า “ปรมัตถเทศนา” (แสดงปรมัตถะหรือแสดงเนื้อหาอันลึกซึ้ง) หมายถึงแสดงถึงแก่นแท้ของสภาวธรรมหรือความจริงแท้เช่น พูดถึงขันธ์ธาตุอายตนะ เป็นต้นว่าที่เราสมมุติเรียกกันว่าสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขานั้นโดยแก่นแท้แล้วเป็นเพียงธาตุ4 (ดินน้ําลมไฟ) ขันธ์5 (รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ) ประชุมกันเข้าเท่านั้นเองโดยปรมัตถ์คือโดยแก่นแท้ของความจริงแล้วไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาดังนี้เป็นต้น
พระไตรปิฎกในแง่สิกขา3
สิกขาคือการฝึกฝนอบรมแบ่งเป็น 3 ประการคืออธิศีลสิกขา หมายถึง อบรมกายและวาจาให้เรียบร้อยให้อยู่ในระเบียบวินัยเพื่อเป็นรากฐานของการฝึกฝนทางจิต อธิจิตตสิกขา หมายถึงการฝึกจิตให้มีคุณภาพมีสมรรถภาพและสุขภาพเพื่อเป็นรากฐานแห่งการอบรมปัญญาและ อธิปัญญาสิกขา ฝึกฝนอบรมปัญญาเพื่อให้
เกิดความรู้เท่าและรู้ทันสภาวธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง
2.1 พระวินัยปิฎก เรียกว่า “อธิศีลสิกขา” (การฝึกฝนอบรมด้านศีลอย่างยิ่ง)หมายความว่าเนื้อหาของพระวินัยปิฎกนั้นมุ่งเน้นไปที่รายละเอียดของศีลหรือสิกขาบทของภิกษุและภิกษุณีทั้งที่มาในพระปาติโมกข์และนอกพระปาติโมกข์โดยให้สํารวมระมัดระวังรักษาศีลเพื่อมิให้ขาดหรือด่างพร้อยการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ทํา
ให้สามารถละกิเลสอย่างหยาบได้และเป็นฐานให้จิตแน่วแน่เป็นสมาธิเร็วยิ่งขึ้น
2.2 พระสุตตันตปิฎก เรียกว่า “อธิจิตตสิกขา” (การฝึกฝนอบรมด้านจิตอย่างยิ่ง)หมายความว่าหลักธรรมที่ทรงแสดงไว้ในพระสุตตันตปิฎกมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนอบรมจิตให้มีลักษณะ 3 ประการคือ แน่วแน่มั่นคงเข้มแข็ง (สมรรถภาพจิต) มีความอ่อนโยนนุ่มนวล (คุณภาพจิต) และปลอดโปร่งโล่งเบาสบาย(สุขภาพจิต) พูดอีกนัยหนึ่งเนื้อหาในพระสูตรเน้นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดสมาธิจิตเพื่อเป็นฐานแห่งวิปัสสนานั่นเอง
2.3 พระอภิธรรมปิฎก เรียกว่า “อธิปัญญาสิกขา” (การฝึกฝนอบรมด้านปัญญาอย่างยิ่ง) หมายความว่าในอภิธรรมปิฎกนี้เนื้อหาสาระมุ่งเน้นไปที่วิเคราะห์แยกแยะสภาวธรรมโดยละเอียดเพื่อให้บรรลุถึงปรมัตถ์(ความจริงแท้ของสรรพสิ่ง)เช่นพิจารณาขันธ์ 5 (รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ)
พระวินัยปิฎก ประกอบด้วย
มหาวิภังค: ์ ข้อห้ามหรือวินัยที่เป็นหลักใหญ่ๆของภิกษุ
ภิกขุณีภังค: ์ ขอห้ ้ามหรือวินัยของภิกษุณี
มหาวัคค: ์ พุทธประวัติตอนแรกและพิธีกรรมทางพระวินัย
จุลลวคคั : ์ พิธีกรรมทางพระวินัย ความเป็นมาของภิกษุณีประวัติการทําสังคายนา
บริวาร: ข้อเบ็ดเตล็ดทางพระวินัย
พระสุตตันตปฎกิ ประกอบด้วย
ทีฆนิกาย: พระธรรมเทศนาขนาดยาว
มัชฌิมนิกาย: พระธรรมเทศนาขนาดกลาง
สังยุตตนิกาย: พระธรรมเทศนาที่ประมวลธรรมะหรือเรื่องราวไว้เป็นพวกๆ
อังคุตรนิกาย: พระธรรมเทศนาจัดเป็นข้อๆตามลําดับจํานวน
ขุททกนิกาย: พระธรรมเทศนาเบ็ดเตล็ด ภาษิต ชาดก
พระอภิธรรมปิฎก ประกอบด้วย
ธัมมสังคณ: ีธรรมที่รวมเป็นหมวดเป็นกลุ่ม
วิภังค์: ธรรมทแยกเป ี่ ็นข้อๆ
ธาตุกถา: ธรรมที่จัดระเบียบความสัมพันธ์โดยถือธาตุเป็นหลักการตัดสินพระธรรม
ปุคคลบญญั ัต: ิบัญญัต 6 ิ ชนิดรายละเอียดเฉพาะ บัญญัติเกี่ยวกับบุคคล
กถาวัตถุ: คําถามคําตอบในหลักธรรมเพื่อถือเป็นหลักในตัดสินพระธรรม
ยมก: ธรรมทรวมก ี่ ันเป็นคู่ๆ
ปัฏฐาน: ปัจจัยหรือเงื่อนไขทางธรรม 24 อย่าง
การสังคายนาพระไตรปิฎก ความหมาย
“สังคายนา”ซึ่งหมายถึงการประชุมสงฆ์ร่วมกันเพื่อร้อยกรองพระธรรมวินัย และ จัดระเบียบหมวดหมู่พระพุทธวจนะให้เป็นระบบขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การศึกษาค้นคว้าอ้างอิงและการปฏิบัติอันยิ่งมีผลให้พระพุทธศาสนาดํารงอยู่เป็นปึกแผ่นมั่นคงสืบไป
อธิบายสังคายนานาครั้งที่ 1
การทําสังคายนาครั้งแรกเกิดขึ้นภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 3 เดือน ที่ถ้ําสัตตบรรณคูหา ข้างเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์ประเทศอินเดีย ในพระราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอชาตศัตรูโดยมีพระมหากัสสปเถระทําหน้าที่เป็นประธาน และเป็นผู้คอยซักถาม มีพระอุบาลีเป็นผู้นําในการวิสัชนาข้อ
วินัย และมีพระอานนท์เป็นผู้นําในการวิสัชนาข้อธรรม การทําสังคายนาครั้งนี้มีพระอรหันต์มาประชุมร่วมกันทั้งหมด 500 รูป ดําเนินอยู่เป็นเวลา 7 เดือน จึงเสร็จสิ้น ไม่ปรากฏการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในการสังคายนาครั้งนี้
มูลเหตุการสังคายนา
1. มูลเหตุในการทําสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นมีภิกษุอยู่รูปหนึ่งชื่อสุภัททะ กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะร้องไห้กันไปทําไม เมื่อสมัยที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ พระองค์ทรงเข้มงวดกวดขัน คอยชี้ว่านี่ถูก นี่ผิด นี่ควร นี่ไม่ควร ทําให้พวกเราลําบาก บัดนี้พระองค์ปรินิพพานไปแล้ว พวกเราจะได้ทําอะไรตามใจชอบเสียทีเมื่อพระมหากัสสปะเถระได้ฟังดังนี้ก็รู้สึกสลดใจ ดําริว่าแม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปใหม่ๆ ยังปรากฏผู้มีใจวิปริตจากธรรมวินัยถึงเพียงนี้ถ้าปล่อยไว้นานเข้า คําสอนทางพระพุทธศาสนาอาจถูกบิดเบือนไปได้
2. เพื่อความยั่งยืนของพระธรรมวินัย และความถูกต้อง
3. เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
อธิบายสังคายนานาครั้งที่ 3
การสังคายนาครั้งที่ 3
การทําสังคายนาครั้งที่สามเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 235 ที่อโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย โดยมีพระโมคคลีบุตร ติสสเถระ เป็นประธาน การทําสังคายนาครั้งนี้มีพระสงฆ์มาประชุมร่วมกัน 1,000 รูปดําเนินการอยู่เป็นเวลา 9 เดือน จึงเสร็จสิ้น ไม่ปรากฏการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในการสังคายนาครั้งนี้
มูลเหตุสังคายนา
ข้อปรารภในการทําสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ มีพวกเดียรถีย์หรือนักบวชศาสนาอื่นมาปลอมบวชด้วยเห็นแก่ลาภสักการะ และเพื่อบ่อนทําลายพระพุทธศาสนา ได้แสดงลัทธิและความเห็นของตนว่า “เป็นพระพุทธศาสนา เป็นคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้า” พระโมคคลีบุตร ติสสเถระ จึงได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชสังคายนาพระธรรมวินัยเพื่อกําจัดความเห็นของพวกเดียรถีย์ออกไป
การสังคายนาในการทําสังคายนาครั้งนี้คงมีการซักถามพระธรรมวินัยและตอบข้อซักถามเช่นเดียวกับการสังคายนาครั้งก่อน แต่ไม่ปรากฏรายละเอียดว่า พระเถระรูปใดทําหน้าที่ซักถาม รูปใดทําหน้าที่ตอบข้อซักถาม พระโมคคลีบุตร ติสสเถระ ได้แต่งคัมภีร์กถาวัตถุซึ่งเป็นคัมภีร์หนึ่งในพระอภิธรรมไว้ด้วย และเมื่อทําสังคายนาเสร็จแล้ว ก็มีการส่งคณะทูตไปประกาศพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ ในที่นี้มีพระมหินทเถระ ผู้เป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่นําพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในลังกา รวมทั้งพระโสณะเถระและพระอุตตระเถระที่นําพระพุทธศาสนามาเผยแผ่ยังดินแดนสุวรรณภูมิด้วยพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชให้มีการสอบสวน สะสางกําจัดพวกเดียรถีย์ปลอมบวชประมาณ 60,000 รูป แล้วให้สละสมณเพศออกจากพระพุทธศาสนาได้สําเร็จ
อธิบายสังคายนานาครั้งที่ 5
การสังคายนาครั้งที่ 5
การทําสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 433 ที่อาโลกเลนสถาน ณ มตเลชนบท ในประเทศศรีลังกาโดยมีพระรักขิตมหาเถระเป็นประธาน องค์อุปถัมภ์คือพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย การทําสังคายนาครั้งนี้เพื่อต้องการจารึกพระพุทธวัจนะเป็นลายลักษณ์อักษรลงในใบลาน ใช้เวลา 1 ปีจึงสําเร็จ
มูลเหตุในการทําสังคายนา
ทางการคณะสงฆ์ชาวลังกาและทางราชการบ้านเมืองเห็นว่า พระธรรมวินัยหรือพระพุทธวจนะที่ได้สังคายนาไว้นั้น มีความสําคัญมาก นับเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา หากจะพิทักษ์รักษาธรรมวินัยให้ดํารงอยู่สืบไปด้วยวิธีการท่องจําดังที่เคยถือปฏิบัติกันมา ก็อาจมีข้อวิปริตผิดพลาดได้ง่าย เพราะความจําของผู้บวช
เรียนเสื่อมถอยลงการสังคายนาในการสังคายนาครั้งนี้ได้จารึกพระธรรมวินัยหรือพระพุทธวจนะ เป็นภาษามคธอักษรบาลีลงในใบลานพร้อมทั้งคําอธิบายพระไตรปิฎกที่เรียกว่า อรรถกถา ซึ่งเดิมเป็นภาษามคธอักษรบาลีนับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจารึกพระธรรมวินัยเป็นภาษามคธอักษรบาลีเป็นหลักฐาน ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร พระไตรปิฎกลายลักษณ์อักษร จึงมีขึ้นเป็นฉบับแรกในพระพุทธศาสนา
อธิบายสังคายนานาครั้งที่ 8
การสังคายนาครั้งที่ 8
ในพ.ศ.2020 ได้มีการทําสังคายนาขึ้นที่วัดโพธาราม ณ เมืองนพิสิกร คือ เมืองเชียงใหม่ ประเทศไทยองค์อุปถัมภ์คือ พระเจ้าติโลกราช หรือพระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิดิลกราช โดยมีประธานฝ่ายสงฆ์คือพระธรรมทินมหาเถระพร้อมด้วยการกสงฆ์ใช้เวลา 1 ปีจึงสําเร็จ
มูลเหตุการสังคายนาและการสังคายนา
พระธรรมทินมหาเถระผู้เปรื่องปราดแตกฉานในพระไตรปิฎก ได้พิจารณาเห็นว่าคัมภีร์พระไตรปิฎกอรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา ซึ่งมีอยู่ในเวลานั้นคลาดเคลื่อนอยู่มาก ด้วยการคัดลอกกันต่อๆมาเป็นเวลาช้านานจึงเข้าเฝ้าถวายขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าติโลกราช เมื่อได้รับการอุปถัมภ์แล้ว พระธรรมทินมหาเถระและ
พระสงฆ์ผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกประชุมกันทําสังคายนา โดยการตรวจชําระพระไตรปิฎก พร้อมทั้งอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา จารึกไว้ในใบลาน ด้วยอักษรธรรมของล้านนา นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 1 ในอาณาจักรล้านนาหรือประเทศไทยในปัจจุบัน ข้อที่น่าสังเกตก็คือ ตัวอักษรที่ใช้ใน การจารึกพระไตรปิฎกในครั้งนั้นคงเป็นอักษรแบบไทยลานนาคล้ายอักษรพม่า
อธิบายสังคายนานาครั้งที่ 9
การสังคายนาครั้งที่ 9
ในปีพ.ศ.2331 ได้มีการทําสังคายนาขึ้นที่ วัดพระศรีสรรเพชญ์ซึ่งปัจจุบันคือวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย องค์อุปถัมภกคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโดยมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน มีพระสงฆ์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์จํานวน 218 รูป และมีราชบัณฑิตเป็นผู้ช่วยเหลือจํานวน 32 คน ใช้เวลา 5 เดือน จึงแล้วเสร็จ
มูลเหตุการสังคายนาและการสังคายนา
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พร้อมด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ทรงมีพระราชศรัทธาปรารถนาจะทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงสืบไป ได้ทรงทราบจากพระสงฆ์อันมีสมเด็จพระสังฆราชฯเป็นประธานว่า เวลานั้นพระไตรปิฎกมีข้อวิปลาสคลาดเคลื่อนมาก
แม้พระสงฆ์จะมีความประสงค์จะทํานุบํารุงให้สมบูรณ์ก็ไม่มีกําลังพอจะทําได้พระองค์จึงได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระสังฆราชพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งปวงให้รับภาระในเรื่องนี้ดังนั้น พระสงฆ์อันมีสมเด็จพระสังฆราชฯเป็นประธาน จึงได้เริ่มทําการสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชําระพระไตรปิฎกพร้อมทั้งคัมภีร์ลัททาวิเสส
(คัมภีร์ไวยากรณ์บาลี) และได้จารึกไว้ในใบลานด้วยอักษรขอม ปิดทองทึบทั้งปกหน้า หกหลังและกรอบ เรียกพระไตรปิฎกฉบับนี้ว่าพระไตรปิฎกฉบับทอง และได้จัดพิมพ์ด้วยอักษษไทยเป็นเล้ม ซึ่งนับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 2 ในประเทศไทย
อธิบายสังคายนานาครั้งที่ 10
การสังคายนาครั้งที่ 10
ในปีพ.ศ.2431 ได้มีการสังคายนาขึ้น ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานครประเทศไทย องค์อุปถัมภกคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ครั้งดํารงพระยศเป็นกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสกเถระ) ครั้งยังเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นประธาน มีพระสงฆ์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์จํานวน 110 รูปใช้เวลา 6 ปีจึงสําเร็จ
มูลเหตุของการสังคายนา
ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ได้ 25 ปีทรงปรารภจะบําเพ็ญพระมหากุศล ทรงเห็นว่าพระไตรปิฎกที่เขียนไว้ในใบลานไม่มั่นคง ทั้งจํานวนก็มากยากที่จะรักษา และเป็นตัวขอมผู้ไม่รู้อ่านไม่เข้าใจ จึงมีพระราชศรัทธาให้พิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มแบบฝรั่งขึ้นใหม่ โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และพระเถรานุเถระทั้งหลายช่วยกันชําระ โดยคัดลอกตัวขอมในคัมภีร์ใบลาน เป็นตัวอักษรไทย แล้วชําระแก้ไขและพิมพ์เป็นเล่มหนังสือ รวม 39 เล่ม เริ่มชําระและพิมพ์ตั้งแต่พ.ศ.2431 สําเร็จเมื่อพ.ศ.2436 จํานวน 1,000 ชุด นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มด้วยอักษรไทยนับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 3 ที่ทําในประเทศไทย
ในปัจจุบันมีพระไตรปิฎกที่ใช้อ้างอิงกันอย่างแพร่หลายในโลก 4 ฉบับ ได้แก
ฉบับโรมันของสมาคมบาลปกรณ ี ์
ฉบับสิงหลของประเทศศรลีงกา ั
ฉบับพม่าของประเทศเมียนมาร์
ฉบับสยามรัฐของประเทศไทย
ประโยชน์ของการศึกษาพระไตรปิฎก
- เป็นที่รวมไว้ซึ่งพุทธพจน์
- เป็นที่สถิตของพระศาสดาของพุทธศาสนิกชน
- เป็นแหล่งต้นเดิมของคําสอนในพระพุทธศาสนา
- เป็นหลักฐานอ้างอิงการแสดง หรือยืนยันหลกการท ั ี่กล่าวว่าเป็นพระพุทธศาสนา
- เป็นมาตรฐานการตรวจสอบคําสอนในพระพุทธศาสนา
- เป็นมาตรฐานตรวจสอบความเชื่อถือ และข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
บทที่ 1 ปฏิรูปการีธุรวา อุฏฐาตา วินฺทเต ธน
: ํ คนขยนเอาการเอางานกระท ั ําเหมาะสมย่อมหาทรพยั ์ได้
บทที่ 2 วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นปิฺปทา
: เกิดเป็นคนควรจะพยายามจนกว่าจะประสบความสําเร็จ
บทที่ 3 สนฺตุฎฺฐีปรมํธน
ํ ความสันโดษเปนทร ็ ัพย์อย่างยิ่ง
บทที่ 4 อิณาทานํทุกฺขํโลเก
: การเป็นหนี้เปนท็ ุกขในโลก
- การแสดงความเคารพพระพุทธ
1.1 เมื่อเดินผ่านหรือขึ้นรถผ่านพระพุทธรูปพระสถูปเจดีย์ควรทําความเคารพด้วยการไหว้คือประนมมือทั้งสองยกขึ้นน้อมศีรษะลงให้ปลายหัวแม่มือทั้ง 2 จรดระหว่างคิ้วทั้ง 2 ข้างถ้าสวมหมวกอยู่ก็ควรถอดหมวกแล้วไหว้
1.2 เมื่อเข้าไปในสถานที่ที่เป็นปูชนียสถาน เช่นภายในพระอุโบสถควรกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์แล้วนั่งสํารวมกิริยาวาจาเป็นการแสดงความเคารพต่อสถานที่ไม่พูดหรือคุยหรือแสดงกิริยาอาการไม่เรียบร้อย
1.3 ประดิษฐานพระพุทธรูป หรือรูปพระพุทธเจ้าไว้ในที่เหมาะสมเช่นบนโต๊ะหมู่บูชาหรือหิ้งพระหรือแขวนภาพพระพุทธรูปไว้ในที่สูง ไม่วางไว้ในที่ต่ําที่อาจจะข้ามกรายได้ไม่ประดิษฐานพระพุทธรูปหรือรูปพระพุทธเจ้าไว้ต่ํากว่ารูปเคารพอย่างอื่นเช่นรูปพระสาวก รูปพระสงฆ์ เทวรูปพระบรมฉายาลักษณ์
1.4 ไม่นําสิ่งของต่าง ๆ ไปห้อยหรือคล้องกับองค์พระพุทธรูปเช่นนําพวงมาลัยไปคล้องพระศอหรือแขวนไว้ที่พระกรของพระพุทธรูปยืนควรจะใส่พานบูชาไว้ข้างหน้าพระพุทธรูปหรือวางไว้บนโต๊ะหมู่บูชา
1.5 ปกป้องพระพุทธเจ้า คือป้องกันไม่ให้คนมาบิดเบือนพุทธประวัติเช่นนําพระพุทธประวัติมาพูดเล่นเป็นเรื่องสนุก กล่าวประวัติพระพุทธเจ้าผิดไปจากความเป็นจริง ควรขอร้องหรือห้ามบุคคลนั้นมิให้พูดเช่นนั้น
- การแสดงความเคารพพระธรรม
2.1 แสดงความเคารพต่อสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรม เช่น รูปธรรมจักร คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา หนังสือธรรมะ
2.2 เมื่อผ่านพระสงฆ์ขณะที่กําลังแสดงธรรมควรแสดงความเคารพด้วยการไหว้
2.3 เวลาฟังธรรมเทศนาหรือฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ควรแสดงความเคารพโดยการนั่งสงบประนมมือตั้งใจฟังไม่พูดหรือคุยหรือแสดงกิริยาอาการไม่เรียบร้อย
2.4 หนังสือธรรมะหนังสือสวดมนต์ควรเก็บไว้ในที่สมควรไม่ควรเหยียบย่ําหรือเดินข้ามหรือฉีกไปใช้ห่อของ
2.5 ป้องกันพระธรรมคือป้องกันไม่ให้ใครนําพระธรรมไปตีความผิด ๆ หรือกล่าวตู่พระพุทธพจน์คือกล่าวอ้างคําสอนที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าเป็นคําสอนของพระพุทธเจ้า
- การแสดงความเคารพพระสงฆ์
3.1 เมื่อไปพบพระสงฆ์ที่วัดไม่ว่าจะเป็นในโบสถ์หรือศาลาการเปรียญหรือกุฎิถ้ามีพระพุทธรูปอยู่ในที่นั้นด้วยให้กราบพระพุทธรูปด้วยเบญจางคประดิษฐ์ก่อนแล้วจึงกราบพระสงฆ์ทีหลังกราบพระพุทธรูปและการกราบพระสงฆ์ควรกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้งเหมือนกัน
3.2 เมื่อพบพระสงฆ์ในที่สาธารณะเช่นตามถนนหรือในยานพาหนะหรือพระสงฆ์นั่งเก้าอี้หรือยืนอยู่ในสถานที่ไม่เหมาะกับการนั่งกราบก็ให้แสดงความเคารพด้วยการไหว้แทนการไหว้พระสงฆ์จะต้องไหว้ในลักษณะนอบน้อมนิ้วหัวแม่มือจรดระหว่างคิ้วทั้ง 2 ข้างก้มศีรษะลงค้อมตัวลงไหว้ครั้งเดียวแล้วลดมือลงตามเดิม
3.3 การพูดกับพระสงฆ์ควรใช้คําพูดที่แสดงความเคารพถึงแม้จะมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันหรือเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนบวชก็ไม่ควรพูดล้อเล่นกับท่านไม่ตีเสมอทั้งนี้เพราะพระสงฆ์เป็นที่เคารพในฐานะเป็นปูชนียบุคคลของสังคม
พูดกับ/คําแทนตัวท่าน/คําแทนผู้พูด ช-ญ/คํารับ ช-ญ
สมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระราชาคณะ
พระสงฆ์ที่เป็นญาติ
พระสงฆ์ที่ไม่ทรงสมณศักดิ์
ฝ่าพระบาท เกล้ากระหม่อม กระหม่อมฉัน พะย่ะค่ะ เพคะ
เจ้าประคุณ กระผม /ผม ดิฉัน ครับผม/ครับ เจ้าค่ะ / ค่ะ
หลวงตา/ปู่/น้า/อา ผม ดิฉัน ครับ ค่ะ
ท่าน/พระคุณเจ้า ผม ดิฉัน ครับ ค่ะ / เจ้าค่ะ
เชิญ ใช้คําว่า
รับประทาน ใช้คําว่า
นอน ใช้คําว่า
ไหว้พระสวดมนต์ ใช้คําว่า
อยู่ประจําตลอด 3 เดือน ใช้คําว่า
อาบน้ํา ใช้คําว่า
ที่นั่ง ใช้คําว่า
ส้วม ใช้คําว่า
ของถวายพระ ใช้คําว่า
ของถวายพระเทศน์ ใช้คําว่า
เงิน ใช้คําว่า
โกนผม ใช้คําว่า
ส่งให้ถึงมือ ใช้คําว่า
ให้ ใช้คําว่า
อาหาร ใช้คําว่า
เรือนหรือตึก ใช้คําว่า
เจ็บป่วย ใช้คําว่า
ตาย ใช้คําว่า
นิมนต์อาราธนา
ฉัน (สําหรับพระสงฆ์ทั่วไป)เสวย (สําหรับสมเด็จพระสังฆราช)
จําวัด
ทําวัตร (เช้าหรือค่ํา)
จําพรรษาในฤดูฝน
สรงน้ํา
อาสนะ
ถานเวจกุฎี
ไทยธรรม
เครื่องกัณฑ์
ปลงผม
ประเคน
ถวาย
ภัตตาหาร
กุฎิ (อ่านว่า กุด – ติ)
อาพาธ
มรณภาพ,ถึงแก่มรณภาพ (สําหรับพระสงฆ์ทั่วไป)
สิ้นพระชนม์(สําหรับสมเด็จพระสังฆราช)
ทิศ 6
- ปุรัตถิมทิส คือทิศเบื้องหน้าได้แก่บิดา มารดา
- ทักขิณทิส คือทิศเบื้องขวาได้แก่ครูอาจารย์
- ปัจฉิมทิส คือทิศเบื้องหลังได้แก่สามีภรรยา บุตร
- อุตตรทิส คือทิศเบื้องซ้ายได้แก่เพื่อน
- เหฎฐิมทิส คือทิศเบื้องล่างได้แก่คนรับใช้และคนงาน
- อุปริมทิส คือทิศเบื้องบนได้แก่สมณะ(พระสงฆ์)
การปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์อย่างถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร
1. การลุกขึ้นยืนรับ
1.1 ถ้านั่งเก้าอี้อยู่ เมื่อพระสงฆ์เดินผ่านมาถึงที่เฉพาะหน้าควรลุกขึ้นยืนรับพร้อมกับพนมมือไหว้เมื่อท่านนั่งเรียบร้อยแล้วจึงนั่งลงตามเดิม
1.2 ถ้านั่งอยู่กับพื้นราบ เมื่อพระสงฆ์เดินผ่านมาถึงที่เฉพาะหน้าไม่นิยมลุกขึ้นยืนรับเพียงพนมมือไหว้หรือกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้งตามความเหมาะสมในสถานที่นั้น ๆ
1.3 สําหรับคฤหัสถ์ผู้เป็นเจ้าภาพงานพิธีต้อนรับพระสงฆ์เมื่อท่านเดินทางมาถึงบริเวณพิธีก็ควรไหว้และนิมนต์พร้อมทั้งนําท่านไปยังสถานที่ที่จัดรับรองไว้
การปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์อย่างถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร
2. การให้ที่นั่งแก่พระสงฆ์
2.1 เมื่อพระสงฆ์มาร่วมในงานพิธีถ้าสถานที่นั้นจัดให้แขกนั่งเก้าอี้คฤหัสถ์และหญิงควรลุกขึ้นให้ที่นั่งแก่พระสงฆ์ในแถวหน้าหรือถ้าบริเวณงานพิธีจัดเป็นแบบนั่งพื้นราบควรจัดที่นั่งแก่พระสงฆ์ไว้ต่างหากโดยจัดเครื่องปูลาด เช่นเสื่อและพรม เป็นต้น ให้ที่ของพระสงฆ์มีระดับสูงกว่าที่ของคฤหัสถ์ตามสมควร
2.2 ถ้าคฤหัสถ์ชายจําเป็นต้องนั่งเก้าอี้แถวเดียวกับพระสงฆ์ควรนั่งเก้าอี้ด้านซ้ายของพระสงฆ์ส่วนคฤหัสถ์ที่เป็นหญิงถ้าหากจําเป็นต้องนั่งเก้าอี้ยาวเดียวกับพระสงฆ์ควรมีคฤหัสถ์ชายนั่งคั่นในระหว่างกลาง
การปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์อย่างถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร
3. การตามส่งพระสงฆ์
3.1 เมื่อพระสงฆ์ที่นิมนต์มาร่วมพิธีงานนั้นลากลับ คฤหัสถ์ชายหญิงผู้ที่เป็นเจ้าภาพงานควรเดินตามไปส่งจนพ้นบริเวณพิธีหรือจนกว่าพาหนะของท่านจะออกพ้นบริเวณพิธีและควรแสดงความเคารพด้วยการพนมมือไหว้
3.2 เมื่อพระสงฆ์ลากลับและเดินผ่านบริเวณพิธีคฤหัสถ์ชายหญิงถ้านั่งเก้าอี้ก็ควรลุกขึ้นยืนและพนมมือไหว้ถ้านั่งในพื้นราบไม่ควรยืนขึ้นเพียงพนมมือไหว้หรือกราบตามควรแก่กรณ
การปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์อย่างถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร
4. การหลีกทางให้พระสงฆ์
4.1 เมื่อพระสงฆ์เดินตามมาข้างหลัง ควรปฏิบัติดังนี้
1) หลีกทางเข้าชิดทางทางด้านซ้ายมือของพระสงฆ์หันหน้ามาทางท่านมือทั้ง 2 ประสานกันไว้ข้างหน้าพองาม
2) เมื่อพระสงฆ์ท่านเดินมาเฉพาะหน้าให้พนมมือไหว้
3) เมื่อพระสงฆ์สนทนาด้วยควรพนมมือพูดกับท่านถ้าไม่มีการสนทนาให้พนมมือไหว้แล้วลดมือประสานไว้ข้างหน้าจนกว่าพระสงฆ์จะเดินผ่านไปแล้วจึงค่อยเดินตามไปข้างหลัง
4.2 เมื่อเดินสวนทางกับพระสงฆ์ควรปฏิบัติดังนี้
1) หลีกไปทางด้านซ้ายของพระสงฆ์ยืนตรง มือทั้ง 2ประสานไว้ข้างหน้าหันหน้ามาทางพระสงฆ์
2) ขณะเดินตามหลังพระสงฆ์ให้เดินเยื้องตามไปด้านซ้ายโดยเว้นระยะห่างประมาณ2 – 3 ก้าว
3) ขณะเดินตามควรอยู่ในอาการสํารวมไม่สนใจหรือทักทายปราศรัยกับคนอื่น
การปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์อย่างถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร
5. การรับสิ่งของจากพระสงฆ์
5.1 ถ้าพระสงฆ์ยืนหรือนั่งบนอาสนะสูง ควรปฏิบัติดังนี้เดินเข้าใกล้พอสมควรด้วยอากรสํารวมยืนตรงแล้วน้อมตัวลงเล็กน้อยพนมมือไหว้และยื่นมือทั้ง 2 ข้างเข้ารับสิ่งของสําหรับคฤหัสถ์ชายรับจากมือพระสงฆ์โดยตรงส่วนคฤหัสถ์หญิงแบมือทั้ง 2 ชิดกันคอยรองรับสิ่งของ
5.2 ถ้าพระสงฆ์นั่งเก้าอี้ควรปฏิบัติดังนี้
1. เดินเข้าใกล้พอสมควรด้วยอาการสํารวมยืนตรงแล้วก้าวเท้าขวาออกไป 1 ก้าวนั่งคุกเข่าซ้ายชันเข่าขวาน้อมตัวลงเล็กน้อยพนมมือไหว้ยื่นมือทั้ง 2 ออกไปรับสิ่งของจากพระสงฆ์
2. เมื่อรับสิ่งของแล้วถ้าสิ่งของนั้นเล็กควรน้อมตัวลงพนมมือไหว้พร้อมสิ่งของในมือ แต่ถ้าสิ่งของนั้นใหญ่หรือหนักไม่นิยมไหว้เพียงยกสิ่งของนั่นประคองไว้แล้วยืนขึ้นชักเท้าขวากลับมายืนตรงก้าวเท้าซ้ายถอยหลังไป1ก้าวชักเท้าขวามาประชิดแล้วหันหลังเดินกลับออกไป
5.3 ถ้าพระสงฆ์นั่งกับพื้น ควรปฏิบัติดังนี้
1. เดินเข้าไปด้วยอาการสํารวมเมื่อถึงที่ปูลาดด้วยเสื่อหรือพรมควรนั่งคุกเข่าลงแล้วเดินเข่าไปใกล้พอสมควร นั่งคุกเข่าตามเพศแล้วกราบเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้งยื่นมือทั้ง 2 ออกรับสิ่งของจากพระสงฆ์
2. เมื่อรับสิ่งของแล้วนิยมวางสิ่งของนั้นทางด้านขวาของตนเองแล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้งหยิบสิ่งของประคองไว้เดินเข่ากลับออกไปจนสุดบริเวณเครื่องปูลาดจึงลุกขึ้นหันหลังเดินออกไป
3. เมื่อพระสงฆ์เดินผ่านมาให้ยืนตรงหรือนั่งกระหย่งพนมมือไหว้ตามแต่กรณี
4. เมื่อพระสงฆ์สนทนาด้วยควรพนมมือพูดด้วยหากไม่มีการสนทนาให้พนมมือไหว้แล้วลดมือประสานไว้ข้างหน้าจนกว่าพระสงฆ์จะเดินผ่านไปแล้วจึงเดินต่อไป
5.4 เมื่อพบพระสงฆ์ยืนอยู่ควรปฏิบัติดังนี้
1. ชายหยุดยืนตรงหญิงย่อเข่าก้มศีรษะและพนมมือไหว้
2. เมื่อมีการสนทนาก็ควรพนมมือพูดด้วยถ้าไม่มีการสนทนาก็ควรเดินหลีกไปทางด้านซ้ายของพระสงฆ์
5.5 เมื่อพบพระสงฆ์นั่งอยู่ควรปฏิบัติดังนี้
1. หยุดนั่งกระหย่ง หรือนั่งคุกเข่าพนมมือไหว้ตามควรแก่สถานที่
2. เมื่อท่านสนทนาด้วยก็ควรพนมมือพูดด้วย
3. เมื่อท่านไม่สนทนาด้วยให้ลุกขึ้นเดินค้อมตัวหลีกไปทางด้านซ้ายของพระสงฆ์
4. ถ้าพระสงฆ์นั่งอยู่ในที่แจ้งมีเงาปรากฏไม่พึงเหยียบเงาของพระสงฆ์ควรเดินเลี่ยงไปทางอื่น