2565 Flashcards

1
Q

จากข้อความต่อไปนี้ ข้อใดเป็นหน้าที่ของเยื่อหุ้มเซลล์

a. แสดงขอบเขตของเซลล์และเป็นสิ่งขวางกั้นการผ่านเข้า-ออกของสารภายในเซลล์
b. กั้นแยกส่วนต่าง ๆ ภายในเซลล์ให้เป็นสัดส่วนแยกออกจากกัน
c. เป็นทางผ่านและควบคุมการผ่านของสารเข้า-ออกของเซลล์
d. รับส่งสัญญาณจากภายนอกเซลล์ เข้าสู่ในเซลล์โดยอาศัยตัวรับสัญญาณ
e. เป็นช่องทางติดต่อกับเซลล์ข้างเคียง

answer choices
1. a b และ c
2. b c และ d
3. a c และ e
4. b d และ e

A

เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane หรือ Plasma membrane) มีหน้าที่หลัก ๆ ดังนี้:

a. แสดงขอบเขตของเซลล์และเป็นสิ่งขวางกั้นการผ่านเข้า-ออกของสารภายในเซลล์ - ถูกต้อง
b. กั้นแยกส่วนต่าง ๆ ภายในเซลล์ให้เป็นสัดส่วนแยกออกจากกัน - ไม่ถูกต้อง
c. เป็นทางผ่านและควบคุมการผ่านของสารเข้า-ออกของเซลล์ - ถูกต้อง
d. รับส่งสัญญาณจากภายนอกเซลล์ เข้าสู่ในเซลล์โดยอาศัยตัวรับสัญญาณ - ถูกต้อง
e. เป็นช่องทางติดต่อกับเซลล์ข้างเคียง - ถูกต้อง
เช่น desmosomes, tight junctions, และ gap junctions

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
2
Q

ข้อใดเป็นการทำงานของสารใดในเยื่อหุ้มเซลล์ เพื่อรับส่งสัญญาณจากภายนอกเซลล์ เข้าสู่ในเซลล์โดยอาศัยตัวรับสัญญาณ

answer choices
1. ฟอสโฟลิพิด
2. โปรติโอไกลแคน
3. เพปทิโดไกลแคน
4. ไกลโคโปรตีน

A

การรับส่งสัญญาณจากภายนอกเซลล์ เข้าสู่ในเซลล์โดยอาศัยตัวรับสัญญาณทำผ่านโปรตีนที่อยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์ซึ่งเรียกว่า “ตัวรับ” (receptors) และตัวรับสัญญาณนี้ส่วนใหญ่เป็นโปรตีนในประเภทของ “ไกลโคโปรตีน” (glycoproteins)

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
3
Q

ในกระบวนการหายใจ เซลล์ยีสต์สร้างแอลกอฮอล์จากกรดไพรูวิกเพราะเหตุใด

answer choices
1. เพื่อกำจัดกรดไพรูวิกจากกระบวนการไกลโคไลซิส
2. เพื่อนำ NAD+ กลับมาใช้ในกระบวนการไกลใคไลซิส
3. เพื่อให้ปฏิกิริยาต่าง ๆ ในกระบวนการไกลโคไลชิสเกิดได้เร็วขึ้น
4. เพื่อลัดวงจรจากการหายใจระดับเซลล์ในภาวะออกซิเจนเพียงพอไปเป็นแบบออกซิเจนไม่เพียงพอ

A

เซลล์ยีสต์สามารถแปลงกรดไพรูวิกเป็นแอลกอฮอล์ในกระบวนการหายใจที่เรียกว่าการหมักแอลกอฮอล์ (alcoholic fermentation) เมื่อมีการขาดออกซิเจนหรืออยู่ในสภาวะที่ไม่ต้องการใช้ออกซิเจนได้

ในกระบวนการนี้ NADH จากไกลโคไลซิสจะให้อิเล็กตรอนกับอะซิตัลดีไฮด์เป็นแอลกอฮอล์ และ NAD+ จะถูกผลิตออกมาเพื่อนำกลับไปใช้ในกระบวนการไกลโคไลซิสอีกครั้ง

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
4
Q

โมเลกุลใดที่พบในปฏิกิริยาของกระบวนการหายใจระดับเซลล์ของเซลล์กล้ามเนื้อ ทั้งในภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอและไม่เพียงพอ

a. กลูโคส
b. NADH
c. คาร์บอนไดออกไซด์
d. กรดแลกติก
e. แอลกอฮอล์

answer choices
1. a และ b
2. a และ C
3. a c และ d
4. b c และ e

A

กระบวนการที่เกิดร่วมกันทั้ง การหายใจระดับเซลล์ และการหมักคือ ไกลโคไลซิส
กลูโคส (a) เป็นสารตั้งต้นในกระบวนการไกลโคไลซิสทั้งในภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอและภาวะที่ไม่เพียงพอ
NADH (b) เป็นผลิตภัณฑ์จากกระบวนการไกลโคไลซิส
ATP เป็นผลิตภัณฑ์จากกระบวนการไกลโคไลซิส
Pyruvate เป็นผลิตภัณฑ์จากกระบวนการไกลโคไลซิส

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
5
Q

โมเลกุล NADH ในไซโทซอลไม่สามารถลำเลียงผ่านเยื่อหุ้มไมโทคอนเดรียเข้าไปในเมทริกซ์ได้โดยตรงเซลล์ต้องทำอย่างไร

answer choices
1. สลายโมเลกุลของ NADH ให้เล็กลงก่อนผ่านเข้าไป
2. ใช้การลำเลียงผ่านโปรตีนที่เยื่อหุ้มไมโทคอนเดรียได้โดยตรง
3. รวมตัวกับสาร glycerol 3-phosphate (G3P) ก่อนผ่านเข้าไป
4. ให้อิเล็กตรอนกับสารตัวกลางแล้วผ่านเข้าไปทางโปรตีนลำเลียง

A

NADH ที่ผลิตจากกระบวนการไกลโคไลซิสในไซโทซอลไม่สามารถผ่านเข้าไปในเมทริกซ์ของไมโทคอนเดรียได้โดยตรง ดังนั้น,อิเล็กตรอนจาก NADH จะถูกโอนให้กับสารตัวกลาง (คือ โปรตีนลำเลียงอิเล็กตรอนและโคแอ็นไซม์ต่าง ๆ บนเยื่อภายในของไมโทคอนเดรีย) แล้วส่งให้โมเลกุลของ NADH หรือ FADH2 ภายในเมทริกช์ เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
6
Q

ในน้ำหนักที่เท่ากันเพราะเหตุใดการสลายลิพิดจึงให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรต

answer choices
1. การสลายลิพิดไม่ต้องผ่านวัฎจักรเครบส์
2. ปฏิกิริยาการสลายลิพิดเกิดขึ้นเร็วกว่าคารโบไฮเดรต
3. ลิพิดสามารถเปลี่ยนเป็นกลีเซอรอลเพื่อเข้าสู่วัฎจัารเครบส์ได้
4. กรดไขมันที่ใต้จากการสลายลิพิตจะถูกเปลี่ยนเป็นแอซิทิลโคเอนไซม์เอได้มากกว่า

A

การที่ลิพิดให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรตในน้ำหนักเท่ากันมีสาเหตุมาจากมีคาร์บอนในโครงสร้างเยอะกว่าคาร์โบไฮเดรต ดังนั้นเมื่อลิพิดถูกเผาผลาญในกระบวนการหายใจเซลล์ จะมีอิเล็กตรอนจากลิพิดซึ่งถูกโอนไปยังกระบวนการถ่านทอดอิเล็กตรอนมากกว่า ส่งผลให้ได้พลังงานมากกว่า

โดยกระบวนการที่ตัดคาร์บอนทีละ 2 โมเลกุล แล้วนำไปสร้างเป็น Acetyl Co-A เพื่อใช้ใน Kreb’s Cycle เรียกว่า Beta-Oxidation

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
7
Q

จากภาพ เซลล์หมายเลข 1 และเซลล์หมายเลข 2 เป็นเซลล์ชนิดเดียวกัน อายุเซลล์เท่ากัน และมาจากสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน เพาะเลี้ยงเซลล์ทั้งสองจำนวน 1 รอบการแบ่งเซลล์แบบไมโทชิส โดยเซลล์ทั้งสองถูกกระตุ้นให้เริ่มเข้าสู่การแบ่งเซลล์แบบไมโทชิสพร้อมกัน

ข้อใดถูกต้อง

answer choices
1. เซลล์ทั้งสองอยู่ในระยะเดียวกัน
2. สาร colchicine จำเป็นต่อการสร้างเส้นใยสปีนเดิล
3. เซลล์ทั้งสองจะเกิดกระบวนการ cytokinesis ในช่วงท้ายของการแบ่งเซลล์
4. ผลลัพธ์สุดท้ายจากเซลล์หมายเลข 2 แต่ละโครโมโซมจะประกอบด้วย 2 โครมาทิด

A

เซลล์ทั้งสองอยู่ในระยะเดียวกัน
ผิด เพราะ colchicine อาจทำให้เซลล์หมายเลข 2 หยุดอยู่ในระยะ meta-phase หรือหยุดติดขัดที่ระยะอื่น ๆ ของการแบ่งเซลล์ก็ได้

สาร colchicine จำเป็นต่อการสร้างเส้นใยสปีนเดิล
ผิด เพราะ colchicine ยับยั้งการประกอบขึ้นของเส้นใย

เซลล์ทั้งสองจะเกิดกระบวนการ cytokinesis ในช่วงท้ายของการแบ่งเซลล์
ผิด เพราะ เซลล์หมายเลข 2 อาจจะไม่สามารถแบ่งเซลล์ต่อไปได้

ผลลัพธ์สุดท้ายจากเซลล์หมายเลข 2 แต่ละโครโมโซมจะประกอบด้วย 2 โครมาทิด
ถูกต้อง เนื่องจากการยับยั้งการแบ่งโครมาทิดด้วย colchicine จะทำให้แต่ละโครโมโซมยังประกอบด้วย 2 โครมาทิดเช่นเดิม

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
8
Q

จากภาพแสดงสารชีวโมเลกุลประเภทใด

answer choices
1. fatty acid
2. polypeptide
3. nucleic acid
4. polysaccharide

A
  1. polypeptide

เป็นโปรตีนในระดับ Secondary structure (Helix Shape)

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
9
Q

ไม่พบคาร์โบไฮเดรตชนิดใดในเปลือกกล้วย

answer choices
1. pectin
2. cellulose
3. chitin
4. amylopectin

A

Chitin เป็นส่วนประกอบหลักของเปลือกแมลง ละผนังเซลล์ของเห็ด รา

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
10
Q

ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการลำเลียงสารผ่านเข้าออกเซลล์

answer choices
1. วิตามินดีเป็นสารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ไม่สามารถแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้จึงจำเป็นต้องอาศัยโปรตีนลำเลียง
2. น้ำสามารถแพร่แบบธรรมดาผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ของยูแคริโอตได้ดีกว่าสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กเช่น แก๊ส CO2 และ O2
3. การทำงานของ Galgi body มีส่วนสำคัญในการลำเลียงสารแบบ active transport
4. โปรตีนลำเลียงในกระบวนการ facilitated diffusion จำเป็นต้องใช้พลังงานเพื่อลำเลียงสารไม่สามารถแพร่แบบ simple diffusion

A

วิตามิน D สามารถแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยไม่ต้องอาศัยโปรตีนลำเลียง
แก๊ส CO2 และ O2 มีโมเลกุลขนาดเล็ก ซึ่งทำให้สามารถแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้เร็วกว่าน้ำ
Golgi body หรือ อวัยวะ Golgi มีหน้าที่ในการแก้ไข, จัดเรียง, และแพ็คเกจโปรตีนและลิปิดที่ผลิตโดย reticulum endoplasmic ซึ่งการลำเลียงสารออกนอกเซลล์ (Exoxytosis) เป็นกระบวนการแบบ active transport

โปรตีนลำเลียงในกระบวนการ facilitated diffusion ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานเพื่อลำเลียงสาร ซึ่งต่างจากกระบวนการ active transport ที่จำเป็นต้องใช้พลังงาน

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
11
Q

แมลงหรี่ชนิดหนึ่ง (ที่ไม่ใช่ Drosophila melanogaster) มีระบบเพศเป็น XY เมื่อนำแมลงหวี่ชนิดนี้มา

ทดลองผสมพันธุ์เพื่อศึกษายีนที่ควบคุมสีลำตัวได้ผลดังนี้

ในการทดลองแรก ผสมพันธุ์แมลงหวี่ตัวผู้สีดำพันธุ์แท้ กับตัวเมียสีเหลืองพันธุ์แท้
ได้ลูก F1 เป็นตัวผู้สีดำ 975 ตัว ตัวเมียสีเหลือง 986 ตัว เมื่อผสมพันธุ์ F1 เข้าด้วยกัน
ได้ลูก F2 เป็นตัวผู้สีดำ 749 ตัว ตัวเมียสีดำ 263 ตัว ตัวผู้สีเหลือง 241 ตัว ตัวเมียสีเหลือง 736 ตัว

ในการทดลองที่สอง ผสมพันธุ์แมลงหวี่ตัวผู้สีเหลืองพันธุ์แท้ กับตัวเมียสีดำพันธุ์แห้
ได้ลูก F1 เป็นตัวผู้สีดำ 1021 ตัว ตัวเมียสีเหลือง 1011 ตัว เมื่อผสมพันธุ์ F1 เข้าด้วยกัน
ได้ลูก F2 เป็น ตัวผู้สีดำ 751 ตัว ตัวเมียสีดำ 258 ตัว ตัวผู้สีเหลือง 247 ตัว ตัวเมียสีเหลือง 746 ตัว

ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการถ่ายทอดของสีลำตัวของแมลงหวี่ชนิดนี้

answer choices
1. ยีนอยู่บนโครโมโซม X
2. ยีนอยู่บนโครโมโซม Y
3. การแสดงออกได้รับอิทธิพลจากโครโมโซมเพศ
4. การแสดงออกควบคุมด้วยยีน 2 ยีนร่วมกัน

A

การแสดงออกได้รับอิทธิพลจากโครโมโซมเพศ
เป็น Sec influenced trait
จีโนไทป์ F2 เป็น
การทดลอง 1 : ตัวผู้สีดำ 751 ตัว ตัวผู้สีเหลือง 247 ตัว = 3:1
การทดลอง 2 : ตัวเมียสีดำ 258 ตัว ตัวเมียสีเหลือง 746 ตัว = 1:3

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
12
Q

ในการผสมพิจารณาสองลักษณะ ข้อใดแสดงสัดส่วนของยีนที่อยู่บนโครโมโชมเดียวกัน (linkage)

answer choices
1. ผสมพ่อแม่ที่เป็น heterozygous ได้ลูกอัตราส่วน 9.3:3:1
2. ผสมพ่อแม่ที่เป็น heterozygous ได้ลูกอัตราส่วน 1:1:1:1
3. ผสมทดสอบกับพ่อที่เป็น heterozygous ได้ลูกอัตราส่วน 1:1:1:1
4. ผสมทดสอบกับพ่อที่เป็น heterozygous ได้ลูกอัตราส่วน 4:1:1:4

A

การผสมพันธุ์ที่เกี่ยวกับยีนที่อยู่บนโครโมโซมเดียวกัน (linkage) จะแสดงผลออกมาที่สัดส่วนแตกต่างจากสัดส่วนตามกฏของ Mendelian เวลาที่พิจารณาสองลักษณะพร้อมกัน ดังนั้น:

ข้อ 1: สัดส่วน 9:3:3:1 เป็นสัดส่วนเมื่อยีนแยกกันอย่างอิสระ (independent assortment) ตามกฏของ Mendel

ข้อ 2 และ ข้อ 3: สัดส่วน 1:1:1:1 คือสัดส่วนที่ได้เมื่อผสมทดสอบ (testcross) กับสายพันธ์ recessive แท้เพื่อตรวจสอบยีนที่อยู่บนโครโมโซมที่ไม่เป็น linkage

ข้อ 4: สัดส่วน 4:1:1:4 แสดงให้เห็นถึงการ linkage ของยีนที่อยู่บนโครโมโซมเดียวกัน โดยได้อัตราส่วนแตกต่างจากอัตราส่วนตามกฏของ Mendelian

How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
13
Q

นักเรียนทดลองผสมพันธุ์แมลงหวี่พันธุ์แห้ ลักษณะขาสั้น (มิวแตนท์) กับแมลงหวี่ลักษณะขายาว (ลักษณะปกติ) เพื่อศึกษารูปแบบการถ่ายทอดลักษณะ ได้ผลตามตาราง

ข้อใดสรุปถูกต้อง

answer choices
1. ลักษณะขาสั้นควบคุมโดยอัลลีลด้อย
2. ยีนที่ควบคุมลักษณะขาสั้นอยู่บนโครโมโซมร่างกาย
3. หากนำแมลงหวี่รุ่น F1 ของการทดลองที่ 1 ผสมกันเอง จะได้ลูขาตัวเมียขาสั้นทั้งหมด
4. หากนำแมลงหวี่รุ่น F1 ของการทดลองที่ 2 ผสมกันเอง จะได้ลูกขาสั้นและขายาวอัตราส่วน 3:1

A

จากข้อมูลที่ให้มาลักษณะขาสั้นเป็นยีนเด่นบนโครโมโซม X
การทดลองที่ 1:
รุ่น P ตัวผู้ขาสั้น (X^AY) x ตัวเมียขายาว (X^aX^a)
ได้รุ่น F1 ตัวเมียขาสั้น (X^AX^a) และตัวผู้ขายาว (X^aY)

การทดลองที่ 2: รุ่น P ตัวผู้ขายาว (X^aY) x ตัวเมียขาสั้น (X^AX^A)
ได้รุ่น F1 ตัวเมียขาสั้น (X^AX^a) และตัวผู้ขาสั้น (X^AY)

  • ลักษณะขาสั้นควบคุมโดยอัลลีลด้อย - ไม่ถูกต้อง จากข้อมูลที่ให้มาลักษณะนี้เป็นยีนเด่นบนโครโมโซม X
  • ยีนที่ควบคุมลักษณะขาสั้นอยู่บนโครโมโซมร่างกาย - ไม่ถูกต้อง จากข้อมูลที่ให้มาลักษณะนี้เป็นยีนเด่นบนโครโมโซม X
  • หากนำแมลงหวี่รุ่น F1 ของการทดลองที่ 1 ผสมกันเอง จะได้ลูกตัวเมียขาสั้นทั้งหมด - ผิด เนื่องจากหากนำตัวเมียขาสั้น (X^AX^a) ผสมกับตัวผู้ขายาว (X^aY) จะได้รุ่น F2 ที่มีทั้งตัวเมียขาสั้น (X^AX^a) ตัวเมียขายาว (X^aX^a) ตัวผู้ขาสั้น (X^AY) และตัวผู้ขายาว (X^aY)
  • หากนำแมลงหวี่รุ่น F1 ของการทดลองที่ 2 ผสมกันเอง จะได้ลูกขาสั้นและขายาวอัตราส่วน 3:1 - ถูกต้อง การผสมตัวเมียขาสั้น (X^AX^a) กับตัวผู้ขาสั้น (X^AY) จะได้ลูกตัวเมียขาสั้น (X^AX^a และ X^AX^A) ตัวผู้ขาสั้น (X^AY) และตัวผู้ขายาว (X^aY) โดยสัดส่วนของลูกขาสั้นและขายาวที่ได้จะเป็น 3:1
How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
14
Q

เมื่อนำไก่ตัวผู้และไก่ตัวเมียที่มีลักษณะขนสั้น และมีจีโนไทป์เป็น heterozygous มาผสมกัน ได้รุ่นลูก เป็นไก่ตัวผู้ขนสั้น 12 ตัว ไก่ตัวผู้ชนยาว 4 ตัว และไก่ตัวเมียขนสั้น 16 ตัว ข้อใดสรุปถูกต้อง

answer choices
1. ลักษณะขนยาวเป็น sex-limited traits
2. ในเพศผู้ลักษณะขนยาวเป็นลักษณะเด่น
3. ลักษณะขนยาวเป็น sex-influenced traits
4. ยีนที่ควบคุมลักษณะความยาวขนของไก่อยู่บนโครโมโชมเพศ

A

เมื่อนำไก่ที่มีจีโนไทป์ heterozygous (สมมุติว่าเป็น Bb โดย B คืออัลลีลขนยาว และ b คืออัลลีลขนสั้น) มาผสมกัน เราจะได้สัดส่วนผลลัพธ์ของรุ่นลูกเป็น 3:1 ซึ่งคือ 3 ส่วนของขนยาว และ 1 ส่วนของขนสั้นตามกฎของเมนเดล (ในกรณีของโครโมโซมร่างกาย)

จากข้อมูลที่ให้มา ไก่ตัวผู้ขนสั้นมี 12 ตัว และไก่ตัวผู้ขนยาวมี 4 ตัว ซึ่งสัดส่วนนี้ไม่ตรงกับ 3:1 แต่สัดส่วนของไก่ตัวเมียเป็นขนสั้นทั้งหมด แสดงให้เห็นว่ามีปัจจัยที่ทำให้การแสดงออกของยีนในรูปแบบที่แตกต่างออกไป และไม่เป็นไปตามกฎของเมนเดล

เมื่อพิจารณาตัวเลือก:

  • ลักษณะขนยาวเป็น sex-limited traits - ข้อนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากลักษณะ sex-limited คือลักษณะที่ปรากฏเฉพาะในเพศหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น
  • ในเพศผู้ลักษณะขนยาวเป็นลักษณะเด่น - ข้อนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากสัดส่วนของไก่ตัวผู้ขนยาวน้อยกว่าไก่ตัวผู้ขนสั้น
  • ลักษณะขนยาวเป็น sex-influenced traits - ถูกต้อง ลักษณะ sex-influenced คือลักษณะที่การแสดงผลของมันเป็นผลจากเพศและยีน ในกรณีนี้ ไก่ตัวเมียที่ heterozygous ปรากฏเป็นขนสั้น ในขณะที่ไก่ตัวผู้ที่ heterozygous มีสัดส่วนขนยาวมากกว่าขนสั้น
  • ยีนที่ควบคุมลักษณะความยาวขนของไก่อยู่บนโครโมโซมเพศ - ข้อนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากการแสดงผลของยีนไม่ได้เป็นไปตามลักษณะที่ถ่ายทอดผ่านทางเพศ
How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
15
Q

เมื่อทดสอบอาหารชนิดหนึ่งด้วยสารละลายไอโอดีน สีของสารละลายไอโอดีนเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ในขณะที่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงเมื่อทดสอบด้วยสารละลายไบยูเร็ต และไม่พบรอยโปร่งแสงเมื่อทดสอบกับกระดาษ

ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอาหารชนิดนี้

answer choices
1. อาหารนี้จะถูกย่อยเชิงเคมีที่ปากร้อยละ 50
2. อาหารนี้ประกอบด้วยหน่วยย่อยคือฟรักโทส
3. สามารถพบเอนไซม์ย่อยอาหารนี้ได้ที่ตับอ่อน
4. อาหารนี้ถูกย่อยอย่างสมบูรณ์ที่กระเพาะอาหาร

A

เมื่อทดสอบอาหารด้วยสารละลายไอโอดีน แล้วสีเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าอาหารนั้นมีแป้งอยู่

พิจารณาตัวเลือก:

  • อาหารนี้จะถูกย่อยเชิงเคมีที่ปากร้อยละ 50 - การย่อยเกิดขึ้นที่ปากไม่ถึง 50%
  • อาหารนี้ประกอบด้วยหน่วยย่อยคือฟรักโทส - ไม่ถูกต้อง แป้งสามารถย่อยเป็นได้หน่วยย่อยเป็นกลูโคส
  • สามารถพบเอนไซม์ย่อยอาหารนี้ได้ที่ตับอ่อน - ถูกต้อง เอนไซม์ที่ย่อยแป้ง เช่น Amylase พบในน้ำลายและในน้ำเหลวจากตับอ่อน
  • อาหารนี้ถูกย่อยอย่างสมบูรณ์ที่กระเพาะอาหาร - ไม่ถูกต้อง กระเพาะอาหารเป็นที่ย่อยโปรตีน และไม่มีเอนไซม์ที่ย่อยแป้งกระเพาะอาหาร
How well did you know this?
1
Not at all
2
3
4
5
Perfectly
16
Q

เมื่อดื่มน้ำอ้อยสด ข้อใดถูกต้อง

answer choices
1. น้ำตาลส่วนใหญ่ถูกย่อยเชิงเคมีครั้งแรกที่ปาก
2. น้ำตาลส่วนใหญ่ถูกย่อยโดยเอนไซม์จากลำไส้เล็ก
3. น้ำตาลส่วนใหญ่ถูกย่อยโดยเอนไชม์จากตับอ่อน
4. น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากไม่ต้องผ่านการย่อย

A

น้ำอ้อยสดประกอบด้วยน้ำตาลที่เรียกว่าสัคโครส (sucrose) ซึ่งเป็นดิแซคคาไรด์ที่เป็นน้ำตาลที่เกิดจากการเชื่อมต่อระหว่างกลูโคสและฟรุกโตส

  • น้ำตาลส่วนใหญ่ถูกย่อยเชิงเคมีครั้งแรกที่ปาก - เอนไซม์ที่ปาก เป็นเอนไซม์ Amylase สามารถย่อยแป้งเป็นมอลโตส แต่ไม่สามารถย่อยซูโครสได้
  • น้ำตาลส่วนใหญ่ถูกย่อยโดยเอนไซม์จากลำไส้เล็ก - ลำไส้เล็กเป็นที่ที่เอนไซม์ซูเครช (sucrase) ทำงานเพื่อแยกซูโครสเป็นกลูโคสและฟรุกโตส ดังนั้นข้อนี้ถูกต้อง
  • น้ำตาลส่วนใหญ่ถูกย่อยโดยเอนไชม์จากตับอ่อน - ตับอ่อนหลั่งเอนไซม์ Amylase สามารถย่อยแป้งเป็นมอลโตส แต่ไม่สามารถย่อยซูโครสได้
  • น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากไม่ต้องผ่านการย่อย - น้ำตาลในน้ำอ้อยสดต้องย่อยก่อนที่จะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ดังนั้นข้อนี้ไม่ถูกต้อง
17
Q

ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ chemical digestion

answer choices
1. อาศัยกระบวนการ combustion
2. อาศัยกระบวนการ hydrolysis
3. เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยา reduction-oxidation
4. หากขาด enzyme จะทำให้ activation energy ของปฏิกิริยาต่ำลง

A

การย่อยเชิงเคมี (chemical digestion) การย่อยนี้เป็นกระบวนการที่ย่อยสารอาหารต่างๆ ให้กลายเป็นสารที่เล็กลงโดยใช้เอนไซม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ดั

อาศัยกระบวนการ hydrolysis - ในการย่อยเชิงเคมี กระบวนการ hydrolysis เป็นกระบวนการสำคัญที่สารอาหารยิ่งใหญ่ เช่น ดิแซคคาไรด์, ไนวคลีโอไทด์, และไตรไกลเซอร์ไรด์ ถูกย่อยเป็นส่วนประกอบที่เล็กกว่าด้วยการแยกกันด้วยโมเลกุลน้ำ (H2O)

ข้อ 1, 3, และ 4 ไม่ถูกต้อง เพราะว่า :

  • อาศัยกระบวนการ combustion - Combustion หรือการเผาไหม้เป็นปฏิกิริยาที่เกี่ยวกับการเผาไหม้ออกซิเจนและการปล่อยพลังงานอย่างรวดเร็ว ไม่เกี่ยวข้องกับการย่อยเชิงเคมี
  • เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยา reduction-oxidation - แม้ว่าบางกรณีการย่อยเชิงเคมีจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับพลังงานของอิเล็กตรอน แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการย่อยอาหาร
  • หากขาด enzyme จะทำให้ activation energy ของปฏิกิริยาต่ำลง - ข้อนี้เป็นข้อผิด เนื่องจากเอนไซม์ทำหน้าที่ลด activation energy ที่จำเป็นสำหรับปฏิกิริยา หากขาดเอนไซม์ activation energy จะสูงขึ้น ทำให้ปฏิกิริยายากที่จะเกิดขึ้น
18
Q

การเพิ่มอัตราการหายใจขณะออกกำลังกายเป็นผลมาจากข้อใด

answer choices
1. ปริมาณ CO2 ที่สูงภายใน alveli กระตุ้นสมองส่วน pons
2. ความเป็นกรดที่มากขึ้นใน cerebrospinal fluid กระตุ้นสมองส่วน medulla oblongata
3. ปริมาณ CO2 ในเลือดที่สูงขึ้นกระตุ้นตัวรับที่ pulmonary artery และส่งสัญญาณกระตุ้นสมองส่วน medulla oblongata
4. ปริมาณ O2 ในเลือดที่ลดลงกระตุ้นตัวรับที่ puimonary artery และส่งสัญญาณกระตุ้นสมองส่วน medulla oblongata

A

การเพิ่มอัตราการหายใจขณะออกกำลังกายเกิดขึ้นเนื่องจากเซลล์ในร่างกายมีการใช้พลังงานมากขึ้นและผลิต CO2 มากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีการเพิ่มขึ้นของความเป็นกรดในเลือด (acidosis) โดยเมื่อ CO2 ที่สูงขึ้นจะถูกแปลงเป็นกรดคาร์บอนิกในเลือด ตัวรับที่ตรวจจับความเป็นกรด (pH) และความเข้มข้นของ CO2 ในเลือดอยู่ในสมองส่วน medulla oblongata และกระตุ้นการหายใจเพื่อกำจัด CO2 ออกจากร่างกายและเกิดการแลกเปลี่ยนกับ O2

ดังนั้น, ข้อที่ถูกต้องคือ:

ความเป็นกรดที่มากขึ้นใน cerebrospinal fluid กระตุ้นสมองส่วน medulla oblongata
การแปลง CO2 เป็นกรดคาร์บอนิกในเลือดจะทำให้ความเป็นกรดของ cerebrospinal fluid เพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นตัวรับใน medulla oblongata ให้เกิดการเพิ่มอัตราการหายใจ

19
Q

เมื่อเกิดบาดแผล กระบวนที่ทำให้เลือดแข็งตัวอันดับแรกคือข้อใด

answer choices
1. หลอดเลือดขยายตัว
2. fibrinogen ถูกเปลี่ยน fibrin
3. กระตุ้นการทำงานของเกล็ดเลือด
4. prothrombin ถูกเปลี่ยน thrombin

A

เมื่อเกิดบาดแผล, การตอบสนองที่เกิดขึ้นแบบทันทีคือหลอดเลือดย่อตัว (vasoconstriction) เพื่อลดการเสียเลือด แต่ตัวเลือก (ก) บอกว่า หลอดเลือดขยายตัว (vasodilation) จึงไม่ถูกต้อง

ดังนั้นขั้นตอนในกระบวนการเลือดแข็งตัวหลังจากนั้น คือ กระตุ้นการทำงานของเกล็ดเลือด โดยเกล็ดเลือดจะมาเกาะที่บาดแผล และเริ่มกระบวนการโดยเกล็ดเลือดหลั่ง Thromboplastin เปลี่ยน prothrombin เป็น thrombin และสุดท้ายทำให้ fibrinogen เปลี่ยนเป็น fibrin

20
Q

เมื่อเสียเลือด ร่างกายตอบสนองอย่างไร

answer choices
1. ลดการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic ที่หลอดเลือด
2. ลดการกระตุ้นระบบประสาท parasympathetic ที่หลอดเลือด
3. เพิ่มการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic ที่หัวใจและหลอดเลือด
4. เพิ่มการกระตุ้นระบบประสาท parasympathetic ที่หัวใจและหลอดเลือด

A

เมื่อเกิดการเสียเลือด, ร่างกายจะตอบสนองด้วยการเพิ่มการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic เนื่องจาก :

  • เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ
  • ทำให้หลอดเลือดหดตัว (vasoconstriction) เพื่อเพิ่มความดันเลือดและลดการสูญเสียเลือด
  • เพิ่มการปล่อย epinephrine และ norepinephrine ซึ่งทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดและเพิ่มความดันเลือด
  • ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้อง
    คือข้อ 3: เพิ่มการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic ที่หัวใจและหลอดเลือด
21
Q

ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ ระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ (adaptive immunity)

answer choices
1. มีความหลากหลายสูง
2. มีการตอบสนองภายในเวลาเป็นนาทีหรือชั่วโมง
3. ไม่มีเซลล์ความจำ
4. มี macrophage ทำหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่เนื้อเยื่อ

A

ระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ (adaptive immunity) มีลักษณะดังนี้:

มีความหลากหลายสูง: มีความสามารถในการจดจำและตอบสนองต่อเชื้อโรคหลายชนิด
มีเซลล์ความจำ: ซึ่งช่วยในการตอบสนองต่อการติดเชื้อที่เคยเกิดขึ้นกับร่างกายได้เร็วมากขึ้น